น้ำตาที่หลั่งไหลมาอย่างห้ามไม่ได้
แม้เวลาผ่านมาหลายเดือนแล้ว ได้สะท้อนให้เห็นถึงความจงรักภักดี
และความอาลัยเทิดทูนที่พนกนิกรมีต่อพระองค์ท่าน
![]() |
ภาพโปสการ์ด พระราชทานแก่ผู้เข้าไปกราบพระบรมศพ |
งานออกพระเมรุ
หรือพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพที่จะจัดขึ้นในเดือนตุลาคม 2560 นี้
หลายคนรู้สึกว่าไม่อยากให้มาถึง แต่สรรพสิ่งต้องดำเนินไป และนี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่พสกนิกรทั่วหล้าจะถวายความจงรักภักดีแด่พระบรมศพของพระองค์ท่านได้
ผู้เขียนมีประสบการณ์เกี่ยวแก่งานพระเมรุมาแล้วถึง
3 พิธี นอกจากจะไปถวายสักการะ เยี่ยมชมพระเมรุ เก็บภาพแล้ว
ผู้เขียนยังมีโอกาสอันดีในการค้นคว้าข้อมูล ทั้งจากตำรับตำรา และการสัมภาษณ์ เพื่อเขียนบทความ
โดยในครั้งแรกนั้น เป็นงานออกพระเมรุของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
ตีพิมพ์ในนิตยสารไลฟ์แอนด์เดคอร์ ปีพ.ศ. 2539
![]() |
พระเมรุมาศ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จากหนังสือศิลปสถาปัตยกรรมไทยในพระเมรุมาศ |
และงานออกพระเมรุของสมเด็จพระพี่นางเธอ
เจ้าฟ้า กัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ตีพิมพ์ในนิตยสารลิปส์ ฉบับปักษ์หลัง
เดือนสิงหาคม 2551 และจัดพิมพ์เป็นหนังสือรวมเล่มชื่อ ธ เสด็จสู่สวรรค์นิรันดร์ สำนักพิมพ์สยามความรู้
ปีพ.ศ. 2551
จากงานค้นคว้า
ทำให้ผู้เขียนพบว่า หนังสือที่เผยแพร่ความรู้ในประเพณีทางด้านนี้
มักเต็มไปด้วยศัพท์วิชาการ และการอ้างอิงตำรามากมาย
จนเป็นกำแพงขวางกั้นความอยากรู้ของคนทั่วไปเสียอย่างนั้น
ผู้เขียนจึงได้ความคิดที่จะทำหนังสือเกี่ยวกับพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพ
ที่ให้ความรู้ถึงที่มาที่ไป ลักษณะของการดำเนินประเพณี และความสำคัญของพระราชพิธี
โดยคัดกรองเอาแต่สาระหลักๆ ที่พอจะบรรเทาความอยากรู้ของคนทั่วไป
ขณะเดียวกันก็บรรจุรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ที่ไม่แก่วิชาการเกินไปนัก
จุดประสงค์คือ
การทำหนังสือให้อ่านง่าย เข้าใจถึงประเพณีที่พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์นั้น
และภาคภูมิใจในรากเหง้าของตัวเรา
จนได้หนังสือ “ธ เสด็จสู่สวรรค์นิรันดร์”
มาเล่มหนึ่ง(และกลายเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับบทความเรื่องพระเมรุบนสื่อออนไลน์ที่คัดลอกกันซ้ำๆ
มาจนทุกวันนี้)
บัดนี้
โลกการสื่อสารได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ผู้เขียนจึงได้นำข้อเขียนจากหนังสือและบทความดังกล่าว
มาคัดกรองให้ข้อมูลกะทัดรัดยิ่งขึ้น เผยแพร่เป็นความรู้แก่สาธารณชน
ให้รู้จักถึงรากเหง้าของประเพณี ที่สั่งสมมายาวนาน อย่างน่าภาคภูมิใจ
และเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติยศแด่พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ
อันเป็นที่เทิดทูนยิ่ง ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
พระเมรุมาศคืออะไร
พระเมรุมาศคืออาคารชั่วคราวที่สร้างขึ้นเพื่อครอบจิตกาธานที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระมหากษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง
เรียกกันภาษาชาวบ้านก็คือเป็นที่เผาศพนั่นเอง
คำว่าพระเมรุมาศนั่นใช้ในพระราชพิธีพระบรมศพสำหรับเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงได้แก่พระมหากษัตริย์, พระอัครมเหสีพระบรมราชินีพระราชชนนีพระบวรราชเจ้า
(วังหน้า) พระบรมโอรสาธิราชเป็นต้น
![]() |
พระเมรุมาศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว |
ส่วนคำว่าพระเมรุเป็นคำเรียกกลางๆสำหรับเรียกอาคารชั่วคราวที่สร้างขึ้นในงานพระศพและใช้สำหรับพระราชวงศ์ที่ทรงฐานานุศักดิ์รองลงมา
นอกจากนี้ยังมีคำว่าพระเมรุทองด้วยแต่เดิมการสร้างพระเมรุจะประกอบด้วยพระเมรุใหญ่ภายในยังมีพระเมรุทองโดยพระเมรุทองนี้คือจิตกาธานสำหรับถวายพระเพลิงพระบรมศพ
คำว่า
“เมรุเผาศพ” ที่เราใช้เรียกอาคารสำหรับเผาศพอย่างปัจจุบันนี้ ก็มีที่มาจากคำว่า
พระเมรุมาศนั่นเอง
ส่วนที่เรียกว่าพระเมรุและพระเมรุมาศนี้มาจากคำว่าเขาพระสุเมรุด้วยเป็นการจำลองที่เผาพระบรมศพนี้เป็นดั่งเขาพระสุเมรุในสรวงสวรรค์
เพื่อเป็นการส่งดวงพระวิญญาณแห่งองค์สมมติเทพ กลับไปยังทิพยสถานแห่งพระองค์
ลักษณะของพระเมรุและพระเมรุมาศ
พระเมรุหรือพระเมรุมาศที่เราเห็นกันในยุคปัจจุบันเป็นงานก่อสร้างที่ใช้ชั่วคราวประกอบจากวัสดุทดแทนเช่นการใช้กระดาษทองย่นแทนการปิดทองคำจริง
อาคารหลักหรืออาคารประธานก็คือพระเมรุมาศ
1 องค์จากนั้นจะประกอบด้วยอาคารบริวารเพื่อรองรับการประกอบพิธีกรรมได้แก่พระที่นั่งทรงธรรมสำหรับเชื้อพระวงศ์ในการฟังธรรมซ่างสำหรับพระสงฆ์สวดพระอภิธรรมทับเกษตรทิมศาลาลูกขุนหอเปลื้องราชวัตรเป็นเขตรั้วล้อมบอกอาณาเขตและเสาหงส์
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของพระเมรุนั้นก็ใช้แบบอย่างศิลปะไทยคือเป็นอาคารที่มีหลังคาเป็นยอดแหลมอาจทำเป็นยอดปราสาทยอดปรางค์ก็แล้วแต่รูปแบบที่นายช่างจะเป็นคนออกแบบโดยสมมติอาคารหลังนี้เป็นพระวิมานหรือที่อยู่ของเทวดาบางครั้งก็มีมุขยื่นออกมาเป็นมุขเดี่ยวบ้างเป็นจตุรมุขบ้าง
โดยรอบประดับด้วยหุ่นเทวดาถือเครื่องสูงเพื่อเป็นการแสดงพระอิสริยยศโดยรอบพระเมรุ
มักตกแต่งด้วยการจำลองป่าหิมพานต์ที่อยู่บนเชิงเขาพระสุเมรุ
และจำลองสัตว์และอมนุษย์ซึ่งอยู่ในป่านั้น
![]() |
หุ่นอมนุษย์จากป่าหิมพานต์ ตกแต่งโดยรอบ |
นอกจากนี้ก็ยังมีเสาหงส์ซึ่งเป็นการประดิษฐ์ตกแต่งเสาไฟที่ให้แสงสว่างให้มีความสวยงามและประโยชน์ใช้สอยอีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์จึงเป็นการออกแบบที่แยบยลประณีตและผ่านการคิดตริตรองอย่างดี
![]() |
เสาหงส์ |
ภายหลังเสร็จสิ้นงานถวายพระเพลิงแล้วอาคารเหล่านี้จะถูกรื้อถอนส่วนใหญ่จะนำไปถวายวัดเพื่อเป็นการกุศลแด่ผู้วายชนม์
สำหรับพระเมรุมาศที่กำลังก่อสร้างอยู่ในขณะนี้
ทางกรมศิลปากรได้มอบหมายให้นายก่อเกียรติ ทองผุด นายช่างศิลปกรรม
สำนักสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร ผู้เป็นมือขวาของ พล.อ.ต.อาวุธ
เงินชูกลิ่น อดีตอธิบดีกรมศิลปากรและศิลปินแห่งชาติที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นผู้ออกแบบ
![]() |
แบบสเก็ตช์ |
พระเมรุมาศ เป็นทรงบุษบก 9 ยอดบนชั้นฐานชาลาย่อมุมไม้สิบสอง โครงสร้างภายในเป็นเหล็ก องค์พระเมรุมาศปิดผิวประดับด้วยไม้อัด
กรุกระดาษทองย่นตกแต่งลวดลายและเครื่องประกอบพระอิสริยยศ มีเทวดาเชิญฉัตรและบังแทรก
มีองค์มหาเทพ 5 พระองค์ คือ พระพิฆเนศวร พระอินทร์ พระพรหม พระศิวะ
และพระนารายณ์ รายรอบพระเมรุมาศชั้นลานอุตราวรรตมีสระอโนดาดทั้ง 4 ทิศ มีน้ำไหลจากสัตว์มงคลประจำทิศ สู่สระอโนดาด ภายในสระประดับด้วยประติมากรรมสัตว์หิมพานต์
บุษบกประธาน ผังพื้นอาคารเป็นสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง
ชั้นฐานเป็นฐานสิงห์ เหนือฐานสิงห์เชิงบาตร ชั้นที่หนึ่งเป็นชั้นครุฑยุดนาค เชิงบาตรชั้นที่สองเป็นชั้นเทพพนม
เครื่องยอดบุษบกเชิงกลอนเจ็ดชั้น บนยอดสุดปักนภปฎลหาเศวตฉัตร(ฉัตรขาว 9 ชั้น)
โถงกลางภายในเป็นที่ประดิษฐานพระจิตกาธานสำหรับประดิษฐานพระบรมโกศ
ติดตั้งฉากบังเพลิงทั้งสี่ทิศ เขียนรูปพระนารายณ์อวตารในปางต่างๆ และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
มีบันไดทางขึ้นจากฐานชาลาทั้ง 4 ทิศ ทางด้านทิศเหนือของพระเมรุมาศ มีสะพานเกรินสำหรับใช้เป็นที่เคลื่อนพระบรมโกศจากราชรถปืนใหญ่ขึ้นบนพระเมรุมาศ
![]() |
โมเดลจำลอง พระเมรุมาศ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช |
ฐานชาลาชั้นที่
1 เป็นฐานสิงห์เป็นรั้วราชวัตร ฉัตร แสดงอาณาเขตพระเมรุมาศ มีท้าวจตุโลกบาลประทับยืนที่มุมฐานชาลาหันหน้าเข้าสู่บุษบกประธาน
มีเทวดาคุกเข่าถือบังแทรก
ฐานชาลาชั้นที่
2 เป็นฐานปัทม์ เป็นที่ตั้งของ บุษบกหอเปลื้องเครื่องยอดบุษบกเชิงกลอนห้าชั้น
จำนวน 4 องค์ตั้งอยู่ที่มุมฐานทั้งสี่ที่ใช้สำหรับจัดเก็บพระโกศทองใหญ่และพระโกศไม้จันทน์และอุปกรณ์สำหรับงานพระราชพิธี
ฐานชาลาชั้นที่ 3 เป็นฐานสิงห์ เหนือฐานสิงห์เป็นฐานเชิง
บาตรท้องไม้มีเทพชุมนุมโดยรอบจำนวน 108 องค์ ถัดขึ้นไปเป็นบัวเขิงบาตรฐานชั้นนี้เป็นที่ตั้งของ
บุษบกซ่างเครื่องยอดบุษบกเชิงกลอนห้าชั้น จำนวน 4 องค์ตั้งอยู่ที่มุมฐานทั้ง
4 เป็นที่สำหรับพระพิธีธรรม 4 สำรับ นั่งอยู่ประจำบุษบกซ่างโดยจะผลัดกันสวดในการสวดพระอภิธรรมโดยจะผลัดกันสวดที่ละซ่างเวียนกันไปตลอดงานพระเมรุมาศ
ลักษณะพระเมรุมาศพิเศษสุด
แสดงศิลปกรรมล้ำเลิศเฉลิมพระบารมียิ่งใหญ่ไพศาลพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์
ผู้ดำรงสิริราชสมบัติยาวนานที่สุดและสถิตย์อยู่ในหัวใจของชาวไทยนิจนิรันดร์
ส่วนเสาหงส์ที่ใช้ในงานนี้
ผู้ออกแบบได้เปลี่ยนเป็นครุฑ ด้วยครุฑเป็นพาหนะของพระนารายณ์และพระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมุติเทพ
เป็นพระนารายณ์อวตารลงมา
(มีต่อ)
กระชับและเขาใจง่ายได้ความรู้แบบจัดเต็มคะ
ตอบลบภาพสวยมากมาย
ขอบคุณค่า ^___^
ลบ