ประเพณีเกี่ยวแก่งานออกพระเมรุ
1 การตาย
สำหรับพระมหากษัตริย์และเชื้อพระวงศ์แล้วการตายมีคำเรียกหลายคำเพื่อแสดงศักดิ์ฐานะและพระอิสริยยศของผู้ตาย
พระมหากษัตริย์พระบรมราชินีสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชใช้คำว่า“สวรรคต”
สมเด็จพระอนุชาธิราชหรือบุคคลที่ได้รับการยกย่องให้เทียบเท่าใช้คำว่า
“ทิวงคต”
พระบรมวงศ์และพระองค์เจ้าใช้คำว่า“สิ้นพระชนม์”
หม่อมเจ้าใช้คำว่า
“สิ้นชีพพิตักษัย”
เจ้าประเทศราช, สมเด็จเจ้าพระยาและเจ้าคุณราชินิกุลใช้คำว่า“ถึงแก่พิราไลย”
สำหรับเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิตทายาทจะต้องทำหนังสือกราบบังคมทูลลาตายพร้อมดอกไม้ธูปเทียนนำทูลเกล้าฯแก่พระมหากษัตริย์จากนั้นก็จะโปรดเกล้าฯให้จัดงานพระศพตลอดจนพระราชทานเครื่องประกอบอิสริยยศตามยศศักดิ์ของผู้ตาย
ตัวอย่างข้อความจากหนังสือกราบบังคมทูลลาตาย
“ดอกไม้ธูปเทียนของข้าพระพุทธเจ้า เจ้าจอมมารดาชุ่มรัชกาลที่ 4 ป่วยเป็นโรคบิด เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม รักษาพยาบาล ส่วนอาการโรคค่อยคลายขึ้น แต่กำลังไม่สามารถจะทนได้ด้วยชราภาพ กราบถวายบังคมลาถึงอนิจกรรมเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2463 เวลาบ่าย 2 น. 35นาที หลังเที่ยง”
“ดอกไม้ธูปเทียนของเจ้าจอมแส กราบบังคมลาขึ้นไปบำเพ็ญกุศล...ที่พิษณุโลก...
ขอกราบถวายบังคมลาถึงอสัญกรรม”
“ดอกไม้ของข้าพระพุทธเจ้าหม่อมเจ้าหญิงบันดาลสวัสดี ในกรมพระยาดำรงราชานุภาพชายาหม่อมเจ้าไตรทิพย์เทพสุทธิ์ ขอกราบถวายบังคมลาสิ้นชีพพิตักษัย”
ศัพท์ที่หมายถึงการตายในภาษาไทยจึงมีความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ ไม่เพียงแต่หมายถึงการตาย แต่ยังแสดงถึงศักดิ์ฐานะ และสะท้อนให้เห็นถึงประเพณีและวัฒนธรรมของสังคมที่มีการถ่ายทอดสืบสานกันมาอย่างยาวนาน
2 เครื่องประกอบอิสริยยศ
พระโกศ
เป็นเครื่องประกอบอิสริยยศสำหรับใส่พระบรมศพและพระศพ
ในสมัยรัตนโกสินทร์ในรัชกาลที่ 1 เมื่อปีพ.ศ. 2342ได้โปรดให้สร้างพระโกศกุดั่นใหญ่และพระโกศกุดั่นน้อยสำหรับทรงพระศพพระพี่นางเจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดีและพระพี่นางเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์
ต่อมาในปีพ.ศ. 2346 สร้างพระโกศไม้สิบสองสำหรับทรงพระศพกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาถ
ต่อมาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระโกศทองใหญ่หรือบางทีก็เรียกพระลองทองใหญ่ไว้สำหรับทรงพระบรมศพ
ซึ่งในเวลานั้นเป็นช่วงปลายรัชกาลทรงพระประชวรดำเนินไม่ค่อยได้ก็โปรดให้นำพระโกศทองใหญ่ขึ้นมาตั้งเพื่อทอดพระเนตรที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ
เวลานั้นเจ้าจอมแว่นหรือคุณเสือ พระสนมเอกเป็นผู้เฝ้าถวายปรนนิบัติก็ร้องไห้ว่าเป็นลางไม่ดี พระองค์ท่านก็กริ้วตรัสว่า ถ้าหากไม่เอาขึ้นมาแล้วจะทอดพระเนตรเห็นได้อย่างไร
ประจวบกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงศรีสุนทรเทพ
(พระธิดา) สิ้นพระชนม์ จึงพระราชทานพระโกศทองใหญ่นี้สำหรับทรงพระศพก็ได้ทอดพระเนตรการใช้งานพระโกศทองใหญ่นี้จนพอพระราชหฤทัย
พระโกศทองใหญ่นี้ใช้ทรงพระบรมศพและพระศพสำคัญมาตลอดจนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่5 ชำรุดทรุดโทรมตามกาลเวลาจึงโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างขึ้นมาใหม่และใช้มาจนกระทั่งปัจจุบัน
ลักษณะพระโกศนี้หุ่นภายในเป็นไม้กลึงแล้วจึงใช้ลวดลายที่ทำจากทองคำและอัญมณีประกอบหุ้มภายนอกให้งดงาม
ยังมีเครื่องประดับสำหรับพระโกศอีกหลายอย่างสำหรับพระโกศทองใหญ่
มีดอกไม้เพชรเป็นพุ่มข้าวบิณฑ์ประดับที่ยอดพระโกศ ดอกไม้ไหวประดับที่กระจังฝาพระโกศ
เฟื่องเพชรมีพู่เงินห้อยเป็นระยะทุกมุมประดับที่ปากพระโกศโดยรอบ ส่วนดอกไม้เอวประดับที่เอวพระโกศโดยรอบ
ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้ประดับครบทุกอย่างแก่พระบรมศพ สำหรับพระศพเจ้านายก็พระราชทานเครื่องประดับเป็นชั้นๆ ไปได้แก่ ชั้นต้นประดับพุ่มข้าวบิณฑ์กับเฟื่อง ชั้นสูงรองแต่พระบรมศพประดับดอกไม้เอวด้วยอีกอย่างหนึ่ง
ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้ประดับครบทุกอย่างแก่พระบรมศพ สำหรับพระศพเจ้านายก็พระราชทานเครื่องประดับเป็นชั้นๆ ไปได้แก่ ชั้นต้นประดับพุ่มข้าวบิณฑ์กับเฟื่อง ชั้นสูงรองแต่พระบรมศพประดับดอกไม้เอวด้วยอีกอย่างหนึ่ง
สำหรับพระโกศและโกศตามลำดับชั้นยศมี
14 อย่าง ได้แก่
1 พระโกศทองใหญ่ เป็นชั้นสูงสุดมีบัญชีจดไว้ว่าเคยใช้ทรงพระบรมศพและพระศพเจ้านายองค์ไหนบ้าง
![]() |
พระโกศทองใหญ่ ในพระราชพิธีถวายพระเพลิง สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้า กัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ |
2 พระโกศทองรองทรง เสมอพระโกศทองใหญ่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 สำหรับใช้แทนพระโกศทองน้อยเวลาที่จะต้องหุ้มทองคำเพื่อจะได้ไม่ต้องหุ้มแล้วรื้อออกบ่อยๆ
3 พระโกศทองเล็ก สร้างในสมัยรัชกาลที่5ทรงพระศพสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์เป็นคราวแรกและทรงพระศพเจ้านายต่อมา
4 พระโกศทองน้อย รัชกาลที่ 4 โปรดให้กรมพระเทเวศร์วัชรินทร์สร้างขึ้นตามแบบพระโกศทองใหญ่สำหรับทรงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อผลัดพระโกศทองใหญ่ไปแต่งก่อนออกงานพระเมรุ ถ้าตั้งพระศพคู่กับพระโกศทองใหญ่ก็หุ้มทองคำใช้งานอื่นไม่หุ้ม
5 พระโกศกุดั่นใหญ่
6 พระโกศกุดั่นน้อย
โกศกุดั่นทั้งใหญ่และน้อยสร้างในคราวรัชกาลที่1ทรงพระศพสมเด็จพระพี่นางเธอทั้งสองพระองค์
7 พระโกศมณฑปใหญ่ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 เอาแบบอย่างมาจากพระโกศมณฑปน้อยเพื่อทรงพระศพกรมพระพิทักษเทเวศร์ ด้วยว่าทรงมีพระรูปใหญ่โตลงลองพระโกศสามัญไม่ได้ต้องทำลองสี่เหลี่ยมขึ้นโดยเฉพาะ
8 พระโกศมณฑปน้อย สร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 เพื่อทรงพระศพพระเจ้าลูกเธอที่ยังทรงพระเยาว์
9 พระโกศไม้สิบสอง สร้างในรัชกาลที่ 1 ทรงพระศพกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
10 พระโกศพระองค์เจ้า หรือโกศลังกา รัชกาลที่
4 โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อทรงพระศพสมเด็จเจ้าฟ้าอาภรณ์ ต่อมาเมื่อมีพระโกศมณฑปน้อยแล้ว
พระโกศนี้ก็ใช้ทรงพระศพพระองค์เจ้าวังหน้าและพระองค์เจ้าตั้งปัจจุบันเรียกว่า พระโกศราชวงศ์
11 โกศราชินิกุล สร้างในสมัยรัชกาลที่
4 พระราชทานให้ประกอบศพพระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค)
ก่อนผู้อื่น
12 โกศเกราะ สร้างในสมัยรัชกาลที่
4 สำหรับศพเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร)
ด้วยท่านอ้วนลงลองสามัญไม่ได้ ต้องทำลองสี่เหลี่ยมทำโกศขึ้นประกอบที่เรียกว่า
“โกศเกราะ”เพราะลายสลักเป็นเกราะรัด
13 โกศแปดเหลี่ยม น่าจะเป็นโกศที่เก่าแก่กว่าชนิดอื่นคงแปลงมาจากเหมตั้งแต่ครั้งกรุงเก่า
14 โกศโถ เป็นโกศเก่าแก่เช่นกัน
เข้าใจว่าโกศแปดเหลี่ยมและโกศโถน่าจะสร้างขึ้นตั้งแต่คราวกรุงธนบุรี
พระโกศทองนี้ไว้สำหรับบรรจุพระศพในระหว่างงานบำเพ็ญพระกุศลเมื่ออัญเชิญไปยังพระเมรุมาศแล้วจะเปลื้องออกเหลือแต่ลองใน ซึ่งเป็นโลหะมีค่า เช่นสำหรับพระบรมศพก็จะเป็นเงินลงรักปิดทอง
จากนั้นนำพระโกศไม้จันทน์มาประกอบตกแต่งเพื่อให้งดงามน่าดูที่ใช้ไม้จันทน์เพราะถือเป็นไม้ชั้นสูงที่ใช้ในงานพระราชพิธี
เครื่องแต่งพระศพ
การตกแต่งพระศพและอัญเชิญลงโกศเมื่อสิ้นพระชนม์แล้วตามประเพณี
เจ้าพนักงานจะทำพิธีสุกำศพชำระด้วยเครื่องหอมผลัดภูษาทรงตามลำดับชั้นพระอิสริยยศ ถวายเครื่องแต่งพระศพอื่น
ซึ่งจะได้รับตามพระอิสริยศและตามชั้นของโกศที่ได้รับพระราชทาน
สำหรับเครื่องแต่งศพและพระศพมีระเบียบตามลำดับชั้นคือ
ชั้นต่ำสุด โกศโถจนถึงโกศมณฑป เครื่องแต่งศพหรือพระศพ ครอบหน้าด้วยหน้าแตงโมทองคำคือหน้ากากทองคำแต่ทำเป็นหน้ากลมเหมือนพระจันทร์เขียนหน้าตา
ซองพลูทองคำเกลี้ยงสำหรับใส่ในมือ มีธูป 1 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 1 ดอก
ตั้งแต่ชั้นโกศไม้สิบสองขึ้นไปแต่งพระศพด้วยหน้าดุนทองคำ
ซองพลูทองคำสลักลาย ชฎาพอกทองคำลงยา เป็นชฎาทรงโปร่งๆแกนในเป็นลวดหุ้มด้วยไม้ระกำแล้วเอาทองคำรีดเป็นแผ่นสลักลายลงยาสีเขียวแดง
ชั้นสูงสุดคือพระโกศทองใหญ่
คือชั้นพระมหากษัตริย์ พระมเหสี กับบุคคลที่จะพระกรุณาเป็นพิเศษ มีพระชฎาพอกทองคำลงยา
หน้าดุนทองคำ ซองพลูทองคำสลักลาย และกาจับหลักทองคำ
กาจับหลักเป็นเสาที่ไว้ในโกศ
ด้านบนมีไม้ขวางโดยการอัญเชิญพระศพลงนั้นเจ้าพนักงานจะแหวกแขนให้โอบกาจับหลัก เชยคางวางบนไม้ขวาง
จากนั้นนำซองพลูทองคำใส่ลงในพระหัตถ์สำหรับให้ไปไหว้พระเจดีย์จุฬามณีบนสวรรค์ เป็นความเชื่อว่าผู้ตายจะได้ขึ้นสวรรค์
ครอบหน้าที่เรียกกันว่าหน้ากากทองคำ มีศัพท์อย่างเป็นทางการว่า พระสุพรรณแผ่นจำหลักปริมณฑลฉลองพระพักตร์ ทำจากทองคำแท้ไว้ปิดพระพักตร์พระศพเผาไปกับพระศพด้วย วันรุ่งขึ้นจะมีพระราชพิธีสามหาบคือเก็บพระบรมอัฐิ
ทองคำนี้ก็หลอมละลาย จะนำเอาไปตีแผ่เป็นแผ่นหุ้มบนพระพุทธรูปซึ่งทำจากชันนำกระดูกชิ้นเล็กๆ
ติดไว้ที่ก้นชัน เป็นการอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย
การบรรจุพระศพลงในพระโกศใช้ผ้าขาวยาว
6 ศอก ( 3 เมตร) 3
ผืนมาวางไขว้กันเป็น 6 แฉก วางพระศพแล้วรวบชายมาขมวดตรงพระเศียรมัดด้ายสายสิญจน์โยงออกมานอกโกศมายังภูษาโยง
เมื่อนำพระศพลงก็จะมีการใช้กระดาษสาหรือกระดาษฟางเป็นพับๆสอดอัดไว้โดยรอบและมีการถวายหมอนเพื่อรองประคองพระศพและซับน้ำพระบุพโพ
(น้ำเหลือง) ซึ่งที่ก้นพระโกศตรงกาจับหลักจะมีท่อทำจากไม้ไผ่ทะลุปล้องที่พื้นด้านล่างของพระที่นั่งจะมีโอ่งซึ่งปิดปากด้วยกระดาษสาชุบไขแล้วแทงไม้ไผ่ลงไปเป็นที่รองพระบุพโพเรียกว่าถ้ำพระบุพโพ
ในส่วนนี้
มีการร่ำลือและเชื่อกันไปเองว่า เสากาจับหลักเป็นเหล็กแหลมไว้แทงศพจากทวารขึ้นไป
ทำให้เกิดความรู้สึกสยดสยอง ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เมื่อคราวที่หนังสือ “ธ
เสด็จสู่สวรรค์นิรันดร์” ได้เผยแพร่แล้ว ยังมีผู้อ่านบางท่าน โทรศัพท์มาพูดคุยกับผู้เขียนถึงเรื่องเหล็กแหลมนี้
และแม้แต่ปัจจุบันก็ยังมีคนพูดถึงเรื่องนี้กันอยู่
แต่ผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีความรู้หลายๆ ท่านก็ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่จริง
เมื่อใกล้จะออกพระเมรุก็จะมีการถวายเปลื้อง
การถวายเปลื้องคือนำพระศพออกจากโกศถวายน้ำพระสุคนธ์ แล้วถวายรูดคือรูดเอาเนื้อที่ยังเหลืออยู่ออกมาแล้วห่อกลับเข้าไปดังเดิม
แล้วนำส่วนนี้ไปถวายพระเพลิงต่างหากที่เมรุผ้าขาวพร้อมกับถ้ำพระบุพโพที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์
มูลเหตุของการถวายเปลื้อง ก็เนื่องมาจากการถวายพระเพลิงด้วยไม้จันทน์ซึ่งเป็นไม้ที่ให้ความร้อนต่ำ
ทำให้เมื่อเผาแล้วอาจมีเนื้อบางส่วนที่เผาไม่หมด เกิดเป็นการโจษจันว่าต้องอำนาจคุณไสย
จึงมีการถวายเปลื้องแล้วนำไปถวายพระเพลิงต่างหากเหลือเพียงส่วนพระอัฐิซึ่งสามารถเผาด้วยฟืนไม้จันทน์ได้
ปัจจุบัน ตั้งแต่คราวงานสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี มีการถวายฉีดยาอย่างสมัยใหม่แล้ว
จึงไม่ต้องถวายเปลื้องและให้ยกเลิกเมรุผ้าขาว ให้อัญเชิญถ้ำพระบุพโพไปถวายพระเพลิงที่เมรุวัดเทพศิรินทราวาสแทน
ส่วนการนำพระศพลงโกศ
ตั้งแต่คราวงานสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระศพได้นำลงในหีบพระศพแทน
แล้วตั้งพระโกศเพื่อเป็นพระเกียรติยศไว้ด้านหน้า ดังที่เราได้เห็นจากภาพข่าวต่างๆ
สำหรับพระบรมศพในคราวนี้
ได้นำลงหีบพระบรมศพซึ่งจัดสร้างโดยร้านสุริยาหีบศพ
เป็นหีบพระบรมศพสร้างจากแผ่นไม้สักทองอายุกว่า 100 ปี ขนาดใหญ่
แกะสลักลายกุหลาบไทยผสมผสานลายหลุยส์ปิดด้วยทองคำแท้
![]() |
พระโกศทองใหญ่ พร้อมเครื่องประดับพระโกศเต็มทุกอย่าง เป็นชั้นสูงสุดในการทรงพระบรมศพ |
พระโกศ เป็นพระโกศทองใหญ่ซึ่งเป็นชั้นสูงสุด
ประดับดอกไม้เพชรเป็นพุ่มที่ยอดพระโกศ ดอกไม้ไหวประดับที่กระจังฝาพระโกศ
เฟื่องเพชรมีพู่เงินห้อยเป็นระยะทุกมุมประดับที่ปากพระโกศโดยรอบ
และดอกไม้เอวประดับที่เอวพระโกศโดยรอบ ประดับเต็มทุกอย่าง
พระโกศจันทน์
กรมศิลปากรได้มอบหมายให้ นายสมชาย ศุภลักษณ์อำไพพร นายช่างศิลปกรรมอาวุโส
สำนักช่างสิบหมู่ เป็นผู้ออกแบบ ซึ่งไม้จันทน์ที่นำมาใช้ในครั้งนี้มาจากอุทยานแห่งชาติกุยบุรี
อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
และก่อนจะตัดนำมาใช้จะต้องมีพิธีบวงสรวงตัดไม้จันทน์หอมตามโบราณราชประเพณี
![]() |
พระโกศไม้จันทน์ งานพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ภาพจากกระปุกดอทคอม |
ราชรถ
ราชรถเป็นเครื่องใช้เฉพาะในพระราชพิธีเท่านั้น
มีการจัดสร้างมาตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อไม่ใช้งานก็เป็นศิลปวัตถุที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
พระนคร
โดยจัดเก็บในอาคารเฉพาะที่เรียกว่า
โรงเก็บราชรถ เป็นอาคารสูงโปร่งมีประตูพิเศษสำหรับเชิญราชรถที่จะออกใช้งานในเวลาที่เหมาะสม
แต่เป็นธรรมเนียมที่ว่าประตูนี้จะเปิดได้ก็ต่อเมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตเท่านั้น ตลอดจนถนนที่จะชักลากก็จะไม่สร้างไว้จนกว่าจะมีหมายกำหนดพระราชพิธีแล้ว
จึงจะก่อสร้างและเมื่อเสร็จสิ้นพระราชพิธีถนนนี้ก็จะถูกรื้อทิ้งไป เพราะเชื่อกันว่าหากมีลักษณะพร้อมใช้งานแล้วจะเป็นลางไม่ดี
ดังนั้นราชรถตลอดจนพระยานมาศที่ใช้ในพระราชพิธีดังกล่าวจึงถูกจัดเก็บไว้เฉยๆ
จนเมื่อมีพระราชพิธีจะต้องนำออกมาใช้จึงจะมีการตรวจสภาพและบูรณะปฏิสังขรณ์ แต่ทั้งนี้ก็ต้องมีพระบรมราชานุญาตและต้องจัดพิธีบวงสรวงเสียก่อนเจ้าพนักงานจึงจะทำงานได้
![]() |
ราชรถ ภาพจาก กระปุกดอทคอม |
ราชรถที่ใช้ออกในพระราชพิธีใช้ราชรถ
2 องค์ได้แก่ราชรถน้อยสำหรับพระสังฆราชประทับนำขบวนแห่ และพระมหาพิชัยราชรถสำหรับทรงพระโกศพระบรมศพ
พระมหาพิชัยราชรถหรือราชรถใหญ่นั้นปัจจุบันมี
2 องค์เรียกว่าพระมหาพิชัยราชรถ 1 องค์ และพระเวชยันตราชรถอีก
1 องค์
พระมหาพิชัยราชรถนี้จัดสร้างเมื่อคราวต้นกรุงรัตนโกสินทร์ใช้เป็นครั้งแรกในงานถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกปีพ.ศ.2339 และใช้งานมาตลอดจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
หลังจากนั้นก็ล้วนแต่ใช้พระเวชยันตราชรถสำหรับอัญเชิญพระบรมศพทั้งสิ้น
(แต่ก็จะเรียกว่าพระมหาพิชัยราชรถ) จนกระทั่งมาในปีพ.ศ. 2539 ซึ่งเป็นระยะเวลา200 ปีพอดีจึงนำมาใช้ในงานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีอีกครั้ง
ในงานพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพคราวนี้
ทางกรมศิลปากร โดยกรมสรรพาวุธทหารบกได้ออกแบบจัดสร้างราชรถองค์ใหม่ 2 องค์ คือราชรถปืนใหญ่และพระที่นั่งราเชนทรยานน้อย
โดยราชรถปืนใหญ่จะนำมาใช้อัญเชิญพระโกศพระบรมศพเวียนรอบพระเมรุมาศแทนพระยานมาศสามลำคานตามธรรมเนียมเดิม
ออกแบบโดย นายชนะ โยธินอุปลักษณ์
![]() |
ราชรถปืนใหญ่ที่จัดสร้างขึ้นใหม่ รอการตกแต่งลวดลายให้สวยงามจากช่างสิบหมู่ ที่มา By Iudexvivorum - งานของตัว, CC0, https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=59883048 |
สำหรับพระที่นั่งราเชนทรยานน้อยจะนำมาใช้อัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารแทนพระวอสีวิกากาญจน์
(มีต่อ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น