วันอังคารที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2560

งานออกพระเมรุ และเกร็ดความรู้เกี่ยวกับพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ตอน 1

ความวิปโยคอาดูรอย่างสุดที่จะบรรยายได้ ปกคลุมไปทั่วหัวใจชาวไทยในเย็นวันที่ 13 ตุลาคม 2559 เมื่อมีการแถลงข่าวการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

น้ำตาที่หลั่งไหลมาอย่างห้ามไม่ได้ แม้เวลาผ่านมาหลายเดือนแล้ว ได้สะท้อนให้เห็นถึงความจงรักภักดี และความอาลัยเทิดทูนที่พนกนิกรมีต่อพระองค์ท่าน

แต่แม้เราจะเศร้าโศกเพียงใดการถวายพระเกียรติยศ และพิธีกรรมตามประเพณี ก็ต้องกระทำอย่างเต็มที่  


ภาพโปสการ์ด พระราชทานแก่ผู้เข้าไปกราบพระบรมศพ



งานออกพระเมรุ หรือพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพที่จะจัดขึ้นในเดือนตุลาคม 2560 นี้ หลายคนรู้สึกว่าไม่อยากให้มาถึง แต่สรรพสิ่งต้องดำเนินไป และนี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่พสกนิกรทั่วหล้าจะถวายความจงรักภักดีแด่พระบรมศพของพระองค์ท่านได้

ผู้เขียนมีประสบการณ์เกี่ยวแก่งานพระเมรุมาแล้วถึง 3 พิธี นอกจากจะไปถวายสักการะ เยี่ยมชมพระเมรุ เก็บภาพแล้ว ผู้เขียนยังมีโอกาสอันดีในการค้นคว้าข้อมูล ทั้งจากตำรับตำรา และการสัมภาษณ์ เพื่อเขียนบทความ โดยในครั้งแรกนั้น เป็นงานออกพระเมรุของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ตีพิมพ์ในนิตยสารไลฟ์แอนด์เดคอร์ ปีพ.ศ. 2539



พระเมรุมาศ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จากหนังสือศิลปสถาปัตยกรรมไทยในพระเมรุมาศ

และงานออกพระเมรุของสมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้า กัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ตีพิมพ์ในนิตยสารลิปส์ ฉบับปักษ์หลัง เดือนสิงหาคม 2551 และจัดพิมพ์เป็นหนังสือรวมเล่มชื่อ ธ เสด็จสู่สวรรค์นิรันดร์ สำนักพิมพ์สยามความรู้ ปีพ.ศ. 2551

จากงานค้นคว้า ทำให้ผู้เขียนพบว่า หนังสือที่เผยแพร่ความรู้ในประเพณีทางด้านนี้ มักเต็มไปด้วยศัพท์วิชาการ และการอ้างอิงตำรามากมาย จนเป็นกำแพงขวางกั้นความอยากรู้ของคนทั่วไปเสียอย่างนั้น

ผู้เขียนจึงได้ความคิดที่จะทำหนังสือเกี่ยวกับพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพ ที่ให้ความรู้ถึงที่มาที่ไป ลักษณะของการดำเนินประเพณี และความสำคัญของพระราชพิธี โดยคัดกรองเอาแต่สาระหลักๆ ที่พอจะบรรเทาความอยากรู้ของคนทั่วไป ขณะเดียวกันก็บรรจุรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ที่ไม่แก่วิชาการเกินไปนัก

จุดประสงค์คือ การทำหนังสือให้อ่านง่าย เข้าใจถึงประเพณีที่พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์นั้น และภาคภูมิใจในรากเหง้าของตัวเรา

จนได้หนังสือ “ธ เสด็จสู่สวรรค์นิรันดร์” มาเล่มหนึ่ง(และกลายเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับบทความเรื่องพระเมรุบนสื่อออนไลน์ที่คัดลอกกันซ้ำๆ มาจนทุกวันนี้)

        



บัดนี้ โลกการสื่อสารได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ผู้เขียนจึงได้นำข้อเขียนจากหนังสือและบทความดังกล่าว มาคัดกรองให้ข้อมูลกะทัดรัดยิ่งขึ้น เผยแพร่เป็นความรู้แก่สาธารณชน ให้รู้จักถึงรากเหง้าของประเพณี ที่สั่งสมมายาวนาน อย่างน่าภาคภูมิใจ


และเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติยศแด่พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ อันเป็นที่เทิดทูนยิ่ง ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้


พระเมรุมาศคืออะไร

พระเมรุมาศคืออาคารชั่วคราวที่สร้างขึ้นเพื่อครอบจิตกาธานที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระมหากษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง

เรียกกันภาษาชาวบ้านก็คือเป็นที่เผาศพนั่นเอง

คำว่าพระเมรุมาศนั่นใช้ในพระราชพิธีพระบรมศพสำหรับเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงได้แก่พระมหากษัตริย์, พระอัครมเหสีพระบรมราชินีพระราชชนนีพระบวรราชเจ้า (วังหน้า) พระบรมโอรสาธิราชเป็นต้น


พระเมรุมาศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


ส่วนคำว่าพระเมรุเป็นคำเรียกกลางๆสำหรับเรียกอาคารชั่วคราวที่สร้างขึ้นในงานพระศพและใช้สำหรับพระราชวงศ์ที่ทรงฐานานุศักดิ์รองลงมา

นอกจากนี้ยังมีคำว่าพระเมรุทองด้วยแต่เดิมการสร้างพระเมรุจะประกอบด้วยพระเมรุใหญ่ภายในยังมีพระเมรุทองโดยพระเมรุทองนี้คือจิตกาธานสำหรับถวายพระเพลิงพระบรมศพ

คำว่า “เมรุเผาศพ” ที่เราใช้เรียกอาคารสำหรับเผาศพอย่างปัจจุบันนี้ ก็มีที่มาจากคำว่า พระเมรุมาศนั่นเอง

ส่วนที่เรียกว่าพระเมรุและพระเมรุมาศนี้มาจากคำว่าเขาพระสุเมรุด้วยเป็นการจำลองที่เผาพระบรมศพนี้เป็นดั่งเขาพระสุเมรุในสรวงสวรรค์ เพื่อเป็นการส่งดวงพระวิญญาณแห่งองค์สมมติเทพ กลับไปยังทิพยสถานแห่งพระองค์

       
จิตรกรรมไทย เขียนภาพเขาพระสุเมรุ
       
ลักษณะของพระเมรุและพระเมรุมาศ

พระเมรุหรือพระเมรุมาศที่เราเห็นกันในยุคปัจจุบันเป็นงานก่อสร้างที่ใช้ชั่วคราวประกอบจากวัสดุทดแทนเช่นการใช้กระดาษทองย่นแทนการปิดทองคำจริง


การตกแต่งพระเมรุมาศ ใช้วัสดุทดแทนอย่างกระดาษทองย่น แทนการปิดทองคำเปลว
อาคารหลักหรืออาคารประธานก็คือพระเมรุมาศ 1 องค์จากนั้นจะประกอบด้วยอาคารบริวารเพื่อรองรับการประกอบพิธีกรรมได้แก่พระที่นั่งทรงธรรมสำหรับเชื้อพระวงศ์ในการฟังธรรมซ่างสำหรับพระสงฆ์สวดพระอภิธรรมทับเกษตรทิมศาลาลูกขุนหอเปลื้องราชวัตรเป็นเขตรั้วล้อมบอกอาณาเขตและเสาหงส์




 ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของพระเมรุนั้นก็ใช้แบบอย่างศิลปะไทยคือเป็นอาคารที่มีหลังคาเป็นยอดแหลมอาจทำเป็นยอดปราสาทยอดปรางค์ก็แล้วแต่รูปแบบที่นายช่างจะเป็นคนออกแบบโดยสมมติอาคารหลังนี้เป็นพระวิมานหรือที่อยู่ของเทวดาบางครั้งก็มีมุขยื่นออกมาเป็นมุขเดี่ยวบ้างเป็นจตุรมุขบ้าง


พระเมรุมาศ สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้า กัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
โดยรอบประดับด้วยหุ่นเทวดาถือเครื่องสูงเพื่อเป็นการแสดงพระอิสริยยศโดยรอบพระเมรุ มักตกแต่งด้วยการจำลองป่าหิมพานต์ที่อยู่บนเชิงเขาพระสุเมรุ และจำลองสัตว์และอมนุษย์ซึ่งอยู่ในป่านั้น


หุ่นเทวดาถือเครื่องสูง ประดับบนพระเมรุมาศ

หุ่นอมนุษย์จากป่าหิมพานต์ ตกแต่งโดยรอบ



นอกจากนี้ก็ยังมีเสาหงส์ซึ่งเป็นการประดิษฐ์ตกแต่งเสาไฟที่ให้แสงสว่างให้มีความสวยงามและประโยชน์ใช้สอยอีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์จึงเป็นการออกแบบที่แยบยลประณีตและผ่านการคิดตริตรองอย่างดี

        
เสาหงส์

ภายหลังเสร็จสิ้นงานถวายพระเพลิงแล้วอาคารเหล่านี้จะถูกรื้อถอนส่วนใหญ่จะนำไปถวายวัดเพื่อเป็นการกุศลแด่ผู้วายชนม์

สำหรับพระเมรุมาศที่กำลังก่อสร้างอยู่ในขณะนี้ ทางกรมศิลปากรได้มอบหมายให้นายก่อเกียรติ ทองผุด นายช่างศิลปกรรม สำนักสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร ผู้เป็นมือขวาของ พล.อ.ต.อาวุธ เงินชูกลิ่น อดีตอธิบดีกรมศิลปากรและศิลปินแห่งชาติที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นผู้ออกแบบ



แบบสเก็ตช์


พระเมรุมาศ  เป็นทรงบุษบก 9 ยอดบนชั้นฐานชาลาย่อมุมไม้สิบสอง โครงสร้างภายในเป็นเหล็ก องค์พระเมรุมาศปิดผิวประดับด้วยไม้อัด กรุกระดาษทองย่นตกแต่งลวดลายและเครื่องประกอบพระอิสริยยศ มีเทวดาเชิญฉัตรและบังแทรก มีองค์มหาเทพ 5 พระองค์ คือ พระพิฆเนศวร พระอินทร์ พระพรหม พระศิวะ และพระนารายณ์ รายรอบพระเมรุมาศชั้นลานอุตราวรรตมีสระอโนดาดทั้ง 4 ทิศ มีน้ำไหลจากสัตว์มงคลประจำทิศ สู่สระอโนดาด ภายในสระประดับด้วยประติมากรรมสัตว์หิมพานต์

 บุษบกประธาน ผังพื้นอาคารเป็นสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง ชั้นฐานเป็นฐานสิงห์ เหนือฐานสิงห์เชิงบาตร ชั้นที่หนึ่งเป็นชั้นครุฑยุดนาค เชิงบาตรชั้นที่สองเป็นชั้นเทพพนม เครื่องยอดบุษบกเชิงกลอนเจ็ดชั้น บนยอดสุดปักนภปฎลหาเศวตฉัตร(ฉัตรขาว 9 ชั้น)

โถงกลางภายในเป็นที่ประดิษฐานพระจิตกาธานสำหรับประดิษฐานพระบรมโกศ ติดตั้งฉากบังเพลิงทั้งสี่ทิศ เขียนรูปพระนารายณ์อวตารในปางต่างๆ และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีบันไดทางขึ้นจากฐานชาลาทั้ง 4 ทิศ ทางด้านทิศเหนือของพระเมรุมาศ มีสะพานเกรินสำหรับใช้เป็นที่เคลื่อนพระบรมโกศจากราชรถปืนใหญ่ขึ้นบนพระเมรุมาศ


โมเดลจำลอง พระเมรุมาศ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช 


ฐานชาลาชั้นที่ 1 เป็นฐานสิงห์เป็นรั้วราชวัตร ฉัตร แสดงอาณาเขตพระเมรุมาศ มีท้าวจตุโลกบาลประทับยืนที่มุมฐานชาลาหันหน้าเข้าสู่บุษบกประธาน มีเทวดาคุกเข่าถือบังแทรก

ฐานชาลาชั้นที่ 2 เป็นฐานปัทม์ เป็นที่ตั้งของ บุษบกหอเปลื้องเครื่องยอดบุษบกเชิงกลอนห้าชั้น จำนวน 4 องค์ตั้งอยู่ที่มุมฐานทั้งสี่ที่ใช้สำหรับจัดเก็บพระโกศทองใหญ่และพระโกศไม้จันทน์และอุปกรณ์สำหรับงานพระราชพิธี

 ฐานชาลาชั้นที่ 3 เป็นฐานสิงห์ เหนือฐานสิงห์เป็นฐานเชิง บาตรท้องไม้มีเทพชุมนุมโดยรอบจำนวน 108 องค์ ถัดขึ้นไปเป็นบัวเขิงบาตรฐานชั้นนี้เป็นที่ตั้งของ บุษบกซ่างเครื่องยอดบุษบกเชิงกลอนห้าชั้น จำนวน 4 องค์ตั้งอยู่ที่มุมฐานทั้ง 4 เป็นที่สำหรับพระพิธีธรรม 4 สำรับ นั่งอยู่ประจำบุษบกซ่างโดยจะผลัดกันสวดในการสวดพระอภิธรรมโดยจะผลัดกันสวดที่ละซ่างเวียนกันไปตลอดงานพระเมรุมาศ

ลักษณะพระเมรุมาศพิเศษสุด แสดงศิลปกรรมล้ำเลิศเฉลิมพระบารมียิ่งใหญ่ไพศาลพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ผู้ดำรงสิริราชสมบัติยาวนานที่สุดและสถิตย์อยู่ในหัวใจของชาวไทยนิจนิรันดร์

ส่วนเสาหงส์ที่ใช้ในงานนี้ ผู้ออกแบบได้เปลี่ยนเป็นครุฑ ด้วยครุฑเป็นพาหนะของพระนารายณ์และพระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมุติเทพ เป็นพระนารายณ์อวตารลงมา


(มีต่อ)

2 ความคิดเห็น:

  1. กระชับและเขาใจง่ายได้ความรู้แบบจัดเต็มคะ

    ภาพสวยมากมาย

    ตอบลบ