วันศุกร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2560

งานออกพระเมรุ และเกร็ดความรู้เกี่ยวกับพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ตอน 3

งานช่างฝีมือและศิลปกรรมในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ




กล่าวได้ว่า ด้วยพระบารมี และพระมหากรุณาธิคุณอันประมาณมิได้ ตลอดรัชสมัยที่ผ่านมา ทำให้ปวงพสกนิกรต่างพร้อมใจกันทำกิจกรรมที่หลากหลายมากมาย อย่างไม่เคยมีมาก่อน ถวายเป็นพระราชกุศลและเพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ

เฉพาะสถิติตัวเลข ที่ประกาศในวันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมานี้ มีประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพถึง 11,065,577 คน ยอดเงินน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 820,324,701.51 ล้านบาท


ยิ่งเมื่อใกล้จะปิดให้เข้าถวายสักการะพระบรมศพ ในวันสิ้นเดือนกันยายนนี้ ปรากฏว่า ประชาชนยิ่งหลั่งไหลเข้าไปถวายสักการะกันมาก ถึงวันละ 6 หมื่นกว่าคน  

จึงทำให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เลื่อนกำหนดวันสุดท้ายของการกราบถวายบังคมพระบรมศพไปเป็นถึงเวลา 24 นาฬิกาของคืนวันที่ 5 ตุลาคม 2560

ตลอดระยะเวลากว่า 300 วัน ได้เกิดกิจกรรมจิตอาสา ทำดีเพื่อถวายในหลวง การแจกอาหารน้ำดื่ม และเครื่องใช้จำเป็น การให้บริการฟรีการจัดทำสิ่งพิมพ์ประเภทต่างๆ ทั้งแจกและจำหน่ายเพื่อการกุศล มีมากจนเพียงแค่จดรายการทั้งหมด คงได้หนังสือหนาๆ สักเล่ม

ดังนั้นในบทปิดท้ายของบทความนี้ ผู้เขียนจึงขอกล่าวถึงบางแง่มุมที่เกี่ยวกับงานช่างฝีมือและศิลปกรรมที่ตรงกับคอนเซ็ปของบล็อก แต่เพียงสังเขปเท่านั้น


การประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์

หน่วยงานราชการและเอกชนได้เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ที่จะใช้ในงานพระราชพิธี โดยมีจุดให้ร่วมประดิษฐ์กระจายอยู่ทั่วประเทศ

ผู้เขียนรู้สึกชื่นชมในความคิดของผู้ที่ได้จัดสรรกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งการประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์นี้ด้วย เพราะเป็นกิจกรรมที่ทำให้ประชาชนผู้จงรักภักดีได้มีโอกาสและมีส่วนร่วมในการทำภารกิจแม้แต่เพียงเล็กน้อย เพื่อถวายแด่พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ทำให้คลายความเศร้า ความอาลัย เปลี่ยนบรรยากาศแห่งความนิ่ง หมองหม่น เป็นการก้าวเดินต่อไปข้างหน้า


ดอกไม้จันทน์ทั้ง 7 แบบ


ทางราชการได้กำหนดแบบดอกไม้จันทน์ ไว้ 7 แบบด้วยกันได้แก่ ดอกดารารัตน์ ดอกกุหลาบ ดอกพุดตาน ดอกลิลลี่ ดอกกล้วยไม้ ดอกชบาทิพย์ และดอกชบาหนู

ดอกไม้แต่ละชนิดมีความหมายต่างๆ ล้วนแต่เป็นที่ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระเจ้าอยู่หัว ในพระบรมโกศทั้งสิ้น


ดอกดารารัตน์


โดยเฉพาะดอกดารารัตน์ เป็นดอกไม้ที่มีเรื่องราวที่ผูกพันอย่างลึกซึ้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ด้วยเป็นดอกไม้ทรงโปรด ที่พระราชทานให้กับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถอยู่เสมอ เมื่อครั้งยังทรงศึกษาและประทับอยู่ที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์

ผู้เขียนมีโอกาสได้ร่วมประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ที่สำนักพระราชวัง สนามเสือป่า ในวันหนึ่ง เมื่อไปถึงพบว่า แทบหาที่นั่งไม่ได้ เพราะมีคนมากมายมาร่วมทำกิจกรรม แม้เมื่อได้ที่นั่งแล้ว และลงมือทำไม่นาน ก็มีเจ้าหน้าที่มาแจ้งว่า หากใครทำได้หลายดอกแล้ว รบกวนสละที่นั่งให้กับจิตอาสาท่านอื่นๆ ด้วย


แสดงให้เห็นว่า มีผู้คนมากมายอยากเข้ามามีส่วนร่วม ทำเพื่อถวายแด่พระองค์ท่านจริงๆ

ศิลปินและช่างฝีมือจิตอาสาร่วมจัดทำพระเมรุมาศ และงานประกอบอื่นๆ

ทางกรมศิลปากร ซึ่งรับผิดชอบในการก่อสร้าง จัดสร้าง พระเมรุมาศและงานศิลปกรรมประกอบในพระราชพิธี ได้เปิดรับจิตอาสา เพื่อช่วยงานด้านศิลปกรรมและช่างฝีมือ


เหล่าศิลปินจิตอาสาช่วยกันลงสีประติมากรรมประดับพระเมรุ ผู้ที่ยืนบนสุดคือ อภิรักษ์ ปันมูลศิลป์


เหล่าศิลปิน และผู้มีความชำนาญได้อาสาเข้าไปช่วยงานเป็นจำนวนมาก ทั้งผู้มีชื่อเสียง และบุคคลทั่วไป


ดังเช่นงานลงสีศิลปกรรมประดับพระเมรุมาศ ไม่ว่าจะเป็นฉากบังเพลิง หรือการลงสีเทวรูปและประติมากรรมต่างๆ มีชาวศิลปะทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่เข้าช่วยงานอย่างคึกคักพร้อมเพรียง อาทิ คุณชวน หลีกภัย อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ เป็นต้น


คุณชวน หลีกภัย กำลังเขียนสีบนฉากบังเพลิง



อาจารย์เฉลิมขัย โฆษิตพิพัฒน์ ขณะลงสีพญาครุฑ



ธีระวัฒน์ คะนะมะ ลงสีประติมากรรมประดับพระเมรุมาศ



อลงกรณ์ หล่อวัฒนา ลงสีพญาครุฑ


การประดิษฐ์สิ่งของใช้ในพระราชพิธี เช่น สายรัดพระวิสูตร จิตอาสาได้ช่วยกันคิดประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ให้สมพระเกียรติ จนได้สายรัดพระวิสูตรที่งดงาม ประดิษฐ์จากลูกปัดคริสตัลและปีกแมลงทับ เลียนแบบจากงานมาลัยดอกไม้สดที่ประณีตงดงามของชาววัง


สายรัดพระวิสูตร ที่จิตอาสาร่วมกันคิดประดิษฐ์ขึ้นใหม่



วันพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ

กำหนดให้มีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพขึ้นในวันที่ 25 - 29 ตุลาคมพ.ศ. 2560 รวมถึงได้ประกาศให้วันที่ 26 ตุลาคมพ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นวันถวายพระเพลิงพระบรมศพเป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ




งานเครื่องสด

ในช่วงสุดท้ายของการเตรียมงาน ประเพณีที่สืบทอดจนเป็นมรดกช่างฝีมือสืบมาคือ งานเครื่องสดสำหรับตกแต่งพระจิตกาธานและพระเมรุมาศ ประกอบด้วยงานแทงหยวก งานช่างแกะสลักของอ่อน (เครื่องถม) งานช่างดอกไม้สด และงานประดิษฐ์เทวดาประดับฐานเรือนไฟองค์พระจิตกาธาน 8 องค์

ถือได้ว่าเป็นรูปแบบงานช่างเครื่องสดราชสำนักอย่างเต็มรูปแบบตามโบราณราชประเพณี

แต่เดิมงานเครื่องสดนี้ นอกจากใช้ตกแต่งเพื่อความสวยงามแล้ว ยังมีประโยชน์ใช้สอยด้วย กล่าวคือ งานแทงหยวก เป็นเครื่องช่วยคุมไฟในการเผาจริง ไม่ให้ไฟโหมมากเกินไป เพราะหยวกเป็นของอวบน้ำ


เครื่องแขวนดอกไม้สด "พวงแก้ว" สีขาวฟ้า พระเมรุมาศ สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์


ส่วนดอกไม้สด ให้ความสดชื่น สะอาดตา ยังอาศัยกลิ่นดอกไม้สดในการกลบกลิ่นอีกด้วย

และเพราะเป็นของสด จึงเป็นงานที่ต้องทำแข่งกับเวลา ในสมัยก่อนไม่มีวัสดุประดิษฐ์ช่วย ไม่มีตู้เย็นช่วย จึงต้องระดมพลเร่งมือทำกันในช่วงคืนสุดท้ายก่อนออกพระเมรุ

ปัจจุบัน ด้วยเทคนิคที่พัฒนาขึ้นมาหลายอย่าง ทำให้งานบางส่วนสามารถประดิษฐ์ล่วงหน้าได้ (ก็เพียงไม่กี่วัน)

โดยมีการทยอยจัดทำส่วนประกอบเครื่องสดประดับพระจิตกาธานล่วงหน้า ประกอบด้วย ดอกเข็มกำมะหยี่ที่จะติดร้อยกรองตาข่ายดอกไม้สดตามจำนวนที่ตั้งไว้คือ 4 แสนดอก

การทำดอกไม้ไหว ประดับหยวกชั้นรัดเกล้าของพระจิตกาธาน และการจัดทำเฟื่อง และอุบะ ประดับชายชั้นรัดเกล้า ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญอีกส่วน ทางช่างฝีมือราชสำนักได้เลือกใช้ดอกปาริชาต มาประดับเพื่อสื่อถึงดอกไม้บนสรวงสวรรค์


ดอกปาริชาต


ดอกปาริชาตทำจากกลีบกล้วยไม้สีเหลืองจำปา เย็บแบบ และกลีบดอกบานไม่รู้โรยสีม่วง เกสรประดิษฐ์จากเมล็ดธัญพืช โดยเกสรชั้นในสุดนั้นถือว่ามีความพิเศษมาก เพราะใช้พลอยหายากจำนวน 8 สี จากจังหวัดจันทบุรี และตรงกลางประดับด้วยเพชรมูลค่า 2 สลึง


การประดิษฐ์ด้วยธัญพืช



เกสรดอกปาริชาตที่ประดับด้วยพลอยและเพชร งดงามเลอค่าอย่างที่สุด


 สำหรับช่างแทงหยวก การนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ ตัวแทนนายช่างแทงหยวกจาก 4 ภูมิภาค อันประกอบด้วย ช่างราชสำนัก , ช่างแทงหยวกสกุลช่างจังหวัดสงขลา, ช่างแทงหยวกสกุลช่างอีสาน จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดมหาสารคาม, ช่างแทงหยวกสกุลช่างเพชรบุรี นักศึกษาวิชาช่างแทงหยวกจากโรงเรียนช่างฝีมือในวัง (ชาย) และตัวแทนช่างฝีมือจัดทำเครื่องสดประดับพระจิตกาธาน จากสถาบันวิทยาลัยอาชีวศึกษาทั้ง 4 ภูมิภาค


เครื่องแขวนดอกไม้สด "พวงกลาง" สีขาวชมพู ในงานพระเมรุ สมเด็จพระภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี


งานช่างดอกไม้สด ซึ่งต้องใช้ดอกไม้จำนวนมหาศาล โดยเฉพาะดอกรัก และดอกกล้วยไม้ โดยนำดอกกล้วยไม้สีขาวย้อมสีตามวันพระราชสมภพ ซึ่งในงานนี้คือสีเหลือง

มาประดิษฐ์เป็นงานรูปแบบต่างๆ เช่น ตาข่ายดอกไม้ ฉัตรดอกไม้ เครื่องแขวน เป็นต้น


งานดอกไม้สด ที่ร้อยเป็นตาข่ายดอกไม้ และฉัตรดอกไม้ ตกแต่งพระจิตกาธาน เป็นภาพที่หาดูได้ยากมาก เพราะไม่ค่อยมีการบันทึกภาพและเผยแพร่นัก


หลังวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ทางการได้เปิดให้ประชาชนเข้าชมพระเมรุมาศและบริเวณพื้นที่โดยรอบ เป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งเป็นนิทรรศการไม่ถาวรที่ชีวิตนี้ เราควรได้ไปชมสักครั้งหนึ่ง


บทความนี้ ผู้เขียนจัดทำขึ้นเพื่อน้อมรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่หาที่สุดมิได้

แม้จะไม่เคยได้รับพระมหากรุณาธิคุณโดยตรง แต่การศึกษาพระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจผ่านตัวหนังสือนั้น ได้สร้างความซาบซึ้ง ในพระเมตตาดั่งพระโพธิสัตว์ ของบุคคลที่มีตัวตนจริงๆ ที่สัมผัสได้ในช่วงชีวิตนี้ แก่ผู้เขียน

ยากนักที่ชีวิตนี้จะได้พบพานสักผู้หนึ่ง เป็นบุญแล้วที่เกิดในรัชกาลที่ 9


-------------------------------


อ้างอิง บทความนี้ ผู้เขียน รวบรวมจากบทความเก่าที่เคยตีพิมพ์ในนิตยสารและรวมเล่มได้แก่

อรชรเอกภาพสากล. พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์. นิตยสารลิปส์ปักษ์หลังเดือนสิงหาคม 2551, หน้า 0203-0215.

____________. พระราชพิธีเกี่ยวแก่พระบรมศพและพระศพตามโบราณราชประเพณี. นิตยสารลิปส์ปักษ์หลังเดือนสิงหาคม 2551, หน้า 0216-0225.


____________.ธ เสด็จสู่สวรรค์นิรันดร. กรุงเทพฯ : สยามความรู้, 2551, 64 หน้า.

ข้อมูลและรูปภาพบางส่วนจากเว็บไซต์ของ

กรุงเทพธุรกิจ
สำนักข่าวไทย
ข่าวสด
คมชัดลึก
คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชกรมประชาสัมพันธ์
คลังภาพสำนักพระราชวัง
Wikipedia
ไทยรัฐ
MGR online
เฟซบุคส่วนตัวของศิลปินหลายท่าน อาทิ Teerawat Kanama อลงกรณ์ หล่อวัฒนา และAphirak Punmoonsilp


การนำข้อความไม่ว่าส่วนหนึ่งส่วนใด หรือทั้งหมดไปเผยแพร่ไม่ว่าในรูปแบบใด สื่อใด ต้องอ้างอิงที่มาอย่างชัดเจน ไม่อนุญาตให้เผยแพร่โดยไม่อ้างแหล่งที่มา หรืออ้างว่าเป็นผลงานของตัวเอง 

วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2560

งานออกพระเมรุ และเกร็ดความรู้เกี่ยวกับพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ตอน2

ประเพณีเกี่ยวแก่งานออกพระเมรุ

1 การตาย

        สำหรับพระมหากษัตริย์และเชื้อพระวงศ์แล้วการตายมีคำเรียกหลายคำเพื่อแสดงศักดิ์ฐานะและพระอิสริยยศของผู้ตาย

        พระมหากษัตริย์พระบรมราชินีสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชใช้คำว่า“สวรรคต”

        สมเด็จพระอนุชาธิราชหรือบุคคลที่ได้รับการยกย่องให้เทียบเท่าใช้คำว่า “ทิวงคต”

        พระบรมวงศ์และพระองค์เจ้าใช้คำว่า“สิ้นพระชนม์”

        หม่อมเจ้าใช้คำว่า “สิ้นชีพพิตักษัย”

        เจ้าประเทศราช, สมเด็จเจ้าพระยาและเจ้าคุณราชินิกุลใช้คำว่า“ถึงแก่พิราไลย”

        สำหรับเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิตทายาทจะต้องทำหนังสือกราบบังคมทูลลาตายพร้อมดอกไม้ธูปเทียนนำทูลเกล้าฯแก่พระมหากษัตริย์จากนั้นก็จะโปรดเกล้าฯให้จัดงานพระศพตลอดจนพระราชทานเครื่องประกอบอิสริยยศตามยศศักดิ์ของผู้ตาย

        ตัวอย่างข้อความจากหนังสือกราบบังคมทูลลาตาย

“ดอกไม้ธูปเทียนของข้าพระพุทธเจ้า เจ้าจอมมารดาชุ่มรัชกาลที่ ป่วยเป็นโรคบิด เมื่อวันที่ กรกฎาคม รักษาพยาบาล ส่วนอาการโรคค่อยคลายขึ้น แต่กำลังไม่สามารถจะทนได้ด้วยชราภาพ กราบถวายบังคมลาถึงอนิจกรรมเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2463 เวลาบ่าย น. 35นาที หลังเที่ยง”


เจ้าจอมมารดาชุ่ม

 “ดอกไม้ธูปเทียนของเจ้าจอมแส กราบบังคมลาขึ้นไปบำเพ็ญกุศล...ที่พิษณุโลก... ขอกราบถวายบังคมลาถึงอสัญกรรม”

“ดอกไม้ของข้าพระพุทธเจ้าหม่อมเจ้าหญิงบันดาลสวัสดี ในกรมพระยาดำรงราชานุภาพชายาหม่อมเจ้าไตรทิพย์เทพสุทธิ์ ขอกราบถวายบังคมลาสิ้นชีพพิตักษัย”

        ศัพท์ที่หมายถึงการตายในภาษาไทยจึงมีความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ ไม่เพียงแต่หมายถึงการตาย แต่ยังแสดงถึงศักดิ์ฐานะ และสะท้อนให้เห็นถึงประเพณีและวัฒนธรรมของสังคมที่มีการถ่ายทอดสืบสานกันมาอย่างยาวนาน


2 เครื่องประกอบอิสริยยศ

พระโกศ

        เป็นเครื่องประกอบอิสริยยศสำหรับใส่พระบรมศพและพระศพ 

        ในสมัยรัตนโกสินทร์ในรัชกาลที่ 1 เมื่อปีพ.ศ. 2342ได้โปรดให้สร้างพระโกศกุดั่นใหญ่และพระโกศกุดั่นน้อยสำหรับทรงพระศพพระพี่นางเจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดีและพระพี่นางเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ ต่อมาในปีพ.ศ. 2346 สร้างพระโกศไม้สิบสองสำหรับทรงพระศพกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาถ

        ต่อมาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระโกศทองใหญ่หรือบางทีก็เรียกพระลองทองใหญ่ไว้สำหรับทรงพระบรมศพ ซึ่งในเวลานั้นเป็นช่วงปลายรัชกาลทรงพระประชวรดำเนินไม่ค่อยได้ก็โปรดให้นำพระโกศทองใหญ่ขึ้นมาตั้งเพื่อทอดพระเนตรที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ

        เวลานั้นเจ้าจอมแว่นหรือคุณเสือ พระสนมเอกเป็นผู้เฝ้าถวายปรนนิบัติก็ร้องไห้ว่าเป็นลางไม่ดี พระองค์ท่านก็กริ้วตรัสว่า ถ้าหากไม่เอาขึ้นมาแล้วจะทอดพระเนตรเห็นได้อย่างไร

        ประจวบกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงศรีสุนทรเทพ (พระธิดา) สิ้นพระชนม์ จึงพระราชทานพระโกศทองใหญ่นี้สำหรับทรงพระศพก็ได้ทอดพระเนตรการใช้งานพระโกศทองใหญ่นี้จนพอพระราชหฤทัย

        พระโกศทองใหญ่นี้ใช้ทรงพระบรมศพและพระศพสำคัญมาตลอดจนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่5 ชำรุดทรุดโทรมตามกาลเวลาจึงโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างขึ้นมาใหม่และใช้มาจนกระทั่งปัจจุบัน

        ลักษณะพระโกศนี้หุ่นภายในเป็นไม้กลึงแล้วจึงใช้ลวดลายที่ทำจากทองคำและอัญมณีประกอบหุ้มภายนอกให้งดงาม

        ยังมีเครื่องประดับสำหรับพระโกศอีกหลายอย่างสำหรับพระโกศทองใหญ่ มีดอกไม้เพชรเป็นพุ่มข้าวบิณฑ์ประดับที่ยอดพระโกศ ดอกไม้ไหวประดับที่กระจังฝาพระโกศ เฟื่องเพชรมีพู่เงินห้อยเป็นระยะทุกมุมประดับที่ปากพระโกศโดยรอบ ส่วนดอกไม้เอวประดับที่เอวพระโกศโดยรอบ 

        ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้ประดับครบทุกอย่างแก่พระบรมศพ สำหรับพระศพเจ้านายก็พระราชทานเครื่องประดับเป็นชั้นๆ ไปได้แก่ ชั้นต้นประดับพุ่มข้าวบิณฑ์กับเฟื่อง ชั้นสูงรองแต่พระบรมศพประดับดอกไม้เอวด้วยอีกอย่างหนึ่ง

        สำหรับพระโกศและโกศตามลำดับชั้นยศมี 14 อย่าง ได้แก่

        1 พระโกศทองใหญ่ เป็นชั้นสูงสุดมีบัญชีจดไว้ว่าเคยใช้ทรงพระบรมศพและพระศพเจ้านายองค์ไหนบ้าง

พระโกศทองใหญ่ ในพระราชพิธีถวายพระเพลิง สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้า กัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

        2 พระโกศทองรองทรง เสมอพระโกศทองใหญ่สร้างในสมัยรัชกาลที่ สำหรับใช้แทนพระโกศทองน้อยเวลาที่จะต้องหุ้มทองคำเพื่อจะได้ไม่ต้องหุ้มแล้วรื้อออกบ่อยๆ

        3 พระโกศทองเล็ก สร้างในสมัยรัชกาลที่5ทรงพระศพสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์เป็นคราวแรกและทรงพระศพเจ้านายต่อมา

        4 พระโกศทองน้อย รัชกาลที่ โปรดให้กรมพระเทเวศร์วัชรินทร์สร้างขึ้นตามแบบพระโกศทองใหญ่สำหรับทรงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อผลัดพระโกศทองใหญ่ไปแต่งก่อนออกงานพระเมรุ ถ้าตั้งพระศพคู่กับพระโกศทองใหญ่ก็หุ้มทองคำใช้งานอื่นไม่หุ้ม
  
        5 พระโกศกุดั่นใหญ่

        6 พระโกศกุดั่นน้อย  

        โกศกุดั่นทั้งใหญ่และน้อยสร้างในคราวรัชกาลที่1ทรงพระศพสมเด็จพระพี่นางเธอทั้งสองพระองค์

        7 พระโกศมณฑปใหญ่ สร้างในสมัยรัชกาลที่ เอาแบบอย่างมาจากพระโกศมณฑปน้อยเพื่อทรงพระศพกรมพระพิทักษเทเวศร์ ด้วยว่าทรงมีพระรูปใหญ่โตลงลองพระโกศสามัญไม่ได้ต้องทำลองสี่เหลี่ยมขึ้นโดยเฉพาะ

        8 พระโกศมณฑปน้อย สร้างในสมัยรัชกาลที่ เพื่อทรงพระศพพระเจ้าลูกเธอที่ยังทรงพระเยาว์

        9 พระโกศไม้สิบสอง สร้างในรัชกาลที่ ทรงพระศพกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท

        10 พระโกศพระองค์เจ้า หรือโกศลังกา รัชกาลที่ 4 โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อทรงพระศพสมเด็จเจ้าฟ้าอาภรณ์ ต่อมาเมื่อมีพระโกศมณฑปน้อยแล้ว พระโกศนี้ก็ใช้ทรงพระศพพระองค์เจ้าวังหน้าและพระองค์เจ้าตั้งปัจจุบันเรียกว่า พระโกศราชวงศ์

        11 โกศราชินิกุล สร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 พระราชทานให้ประกอบศพพระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค) ก่อนผู้อื่น

        12 โกศเกราะ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 สำหรับศพเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ด้วยท่านอ้วนลงลองสามัญไม่ได้ ต้องทำลองสี่เหลี่ยมทำโกศขึ้นประกอบที่เรียกว่า “โกศเกราะ”เพราะลายสลักเป็นเกราะรัด

        13 โกศแปดเหลี่ยม น่าจะเป็นโกศที่เก่าแก่กว่าชนิดอื่นคงแปลงมาจากเหมตั้งแต่ครั้งกรุงเก่า

        14 โกศโถ เป็นโกศเก่าแก่เช่นกัน เข้าใจว่าโกศแปดเหลี่ยมและโกศโถน่าจะสร้างขึ้นตั้งแต่คราวกรุงธนบุรี

        พระโกศทองนี้ไว้สำหรับบรรจุพระศพในระหว่างงานบำเพ็ญพระกุศลเมื่ออัญเชิญไปยังพระเมรุมาศแล้วจะเปลื้องออกเหลือแต่ลองใน ซึ่งเป็นโลหะมีค่า เช่นสำหรับพระบรมศพก็จะเป็นเงินลงรักปิดทอง

        จากนั้นนำพระโกศไม้จันทน์มาประกอบตกแต่งเพื่อให้งดงามน่าดูที่ใช้ไม้จันทน์เพราะถือเป็นไม้ชั้นสูงที่ใช้ในงานพระราชพิธี


เครื่องแต่งพระศพ 

        การตกแต่งพระศพและอัญเชิญลงโกศเมื่อสิ้นพระชนม์แล้วตามประเพณี เจ้าพนักงานจะทำพิธีสุกำศพชำระด้วยเครื่องหอมผลัดภูษาทรงตามลำดับชั้นพระอิสริยยศ ถวายเครื่องแต่งพระศพอื่น ซึ่งจะได้รับตามพระอิสริยศและตามชั้นของโกศที่ได้รับพระราชทาน

        สำหรับเครื่องแต่งศพและพระศพมีระเบียบตามลำดับชั้นคือ ชั้นต่ำสุด โกศโถจนถึงโกศมณฑป เครื่องแต่งศพหรือพระศพ ครอบหน้าด้วยหน้าแตงโมทองคำคือหน้ากากทองคำแต่ทำเป็นหน้ากลมเหมือนพระจันทร์เขียนหน้าตา ซองพลูทองคำเกลี้ยงสำหรับใส่ในมือ มีธูป 1 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 1 ดอก

        ตั้งแต่ชั้นโกศไม้สิบสองขึ้นไปแต่งพระศพด้วยหน้าดุนทองคำ ซองพลูทองคำสลักลาย ชฎาพอกทองคำลงยา เป็นชฎาทรงโปร่งๆแกนในเป็นลวดหุ้มด้วยไม้ระกำแล้วเอาทองคำรีดเป็นแผ่นสลักลายลงยาสีเขียวแดง

        ชั้นสูงสุดคือพระโกศทองใหญ่ คือชั้นพระมหากษัตริย์ พระมเหสี กับบุคคลที่จะพระกรุณาเป็นพิเศษ มีพระชฎาพอกทองคำลงยา หน้าดุนทองคำ ซองพลูทองคำสลักลาย และกาจับหลักทองคำ

         กาจับหลักเป็นเสาที่ไว้ในโกศ ด้านบนมีไม้ขวางโดยการอัญเชิญพระศพลงนั้นเจ้าพนักงานจะแหวกแขนให้โอบกาจับหลัก เชยคางวางบนไม้ขวาง จากนั้นนำซองพลูทองคำใส่ลงในพระหัตถ์สำหรับให้ไปไหว้พระเจดีย์จุฬามณีบนสวรรค์ เป็นความเชื่อว่าผู้ตายจะได้ขึ้นสวรรค์

        ครอบหน้าที่เรียกกันว่าหน้ากากทองคำ มีศัพท์อย่างเป็นทางการว่า พระสุพรรณแผ่นจำหลักปริมณฑลฉลองพระพักตร์ ทำจากทองคำแท้ไว้ปิดพระพักตร์พระศพเผาไปกับพระศพด้วย วันรุ่งขึ้นจะมีพระราชพิธีสามหาบคือเก็บพระบรมอัฐิ ทองคำนี้ก็หลอมละลาย จะนำเอาไปตีแผ่เป็นแผ่นหุ้มบนพระพุทธรูปซึ่งทำจากชันนำกระดูกชิ้นเล็กๆ ติดไว้ที่ก้นชัน เป็นการอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย

        การบรรจุพระศพลงในพระโกศใช้ผ้าขาวยาว 6 ศอก ( เมตร) 3 ผืนมาวางไขว้กันเป็น 6 แฉก วางพระศพแล้วรวบชายมาขมวดตรงพระเศียรมัดด้ายสายสิญจน์โยงออกมานอกโกศมายังภูษาโยง

        เมื่อนำพระศพลงก็จะมีการใช้กระดาษสาหรือกระดาษฟางเป็นพับๆสอดอัดไว้โดยรอบและมีการถวายหมอนเพื่อรองประคองพระศพและซับน้ำพระบุพโพ (น้ำเหลือง) ซึ่งที่ก้นพระโกศตรงกาจับหลักจะมีท่อทำจากไม้ไผ่ทะลุปล้องที่พื้นด้านล่างของพระที่นั่งจะมีโอ่งซึ่งปิดปากด้วยกระดาษสาชุบไขแล้วแทงไม้ไผ่ลงไปเป็นที่รองพระบุพโพเรียกว่าถ้ำพระบุพโพ

        ในส่วนนี้ มีการร่ำลือและเชื่อกันไปเองว่า เสากาจับหลักเป็นเหล็กแหลมไว้แทงศพจากทวารขึ้นไป ทำให้เกิดความรู้สึกสยดสยอง ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด  เมื่อคราวที่หนังสือ “ธ เสด็จสู่สวรรค์นิรันดร์” ได้เผยแพร่แล้ว ยังมีผู้อ่านบางท่าน โทรศัพท์มาพูดคุยกับผู้เขียนถึงเรื่องเหล็กแหลมนี้ และแม้แต่ปัจจุบันก็ยังมีคนพูดถึงเรื่องนี้กันอยู่ แต่ผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีความรู้หลายๆ ท่านก็ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่จริง

        เมื่อใกล้จะออกพระเมรุก็จะมีการถวายเปลื้อง การถวายเปลื้องคือนำพระศพออกจากโกศถวายน้ำพระสุคนธ์ แล้วถวายรูดคือรูดเอาเนื้อที่ยังเหลืออยู่ออกมาแล้วห่อกลับเข้าไปดังเดิม

        แล้วนำส่วนนี้ไปถวายพระเพลิงต่างหากที่เมรุผ้าขาวพร้อมกับถ้ำพระบุพโพที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์

        มูลเหตุของการถวายเปลื้อง ก็เนื่องมาจากการถวายพระเพลิงด้วยไม้จันทน์ซึ่งเป็นไม้ที่ให้ความร้อนต่ำ ทำให้เมื่อเผาแล้วอาจมีเนื้อบางส่วนที่เผาไม่หมด เกิดเป็นการโจษจันว่าต้องอำนาจคุณไสย จึงมีการถวายเปลื้องแล้วนำไปถวายพระเพลิงต่างหากเหลือเพียงส่วนพระอัฐิซึ่งสามารถเผาด้วยฟืนไม้จันทน์ได้

        ปัจจุบัน ตั้งแต่คราวงานสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี มีการถวายฉีดยาอย่างสมัยใหม่แล้ว จึงไม่ต้องถวายเปลื้องและให้ยกเลิกเมรุผ้าขาว ให้อัญเชิญถ้ำพระบุพโพไปถวายพระเพลิงที่เมรุวัดเทพศิรินทราวาสแทน

        ส่วนการนำพระศพลงโกศ ตั้งแต่คราวงานสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระศพได้นำลงในหีบพระศพแทน แล้วตั้งพระโกศเพื่อเป็นพระเกียรติยศไว้ด้านหน้า ดังที่เราได้เห็นจากภาพข่าวต่างๆ

        สำหรับพระบรมศพในคราวนี้ ได้นำลงหีบพระบรมศพซึ่งจัดสร้างโดยร้านสุริยาหีบศพ เป็นหีบพระบรมศพสร้างจากแผ่นไม้สักทองอายุกว่า 100 ปี ขนาดใหญ่ แกะสลักลายกุหลาบไทยผสมผสานลายหลุยส์ปิดด้วยทองคำแท้

พระโกศทองใหญ่ พร้อมเครื่องประดับพระโกศเต็มทุกอย่าง เป็นชั้นสูงสุดในการทรงพระบรมศพ

        พระโกศ เป็นพระโกศทองใหญ่ซึ่งเป็นชั้นสูงสุด ประดับดอกไม้เพชรเป็นพุ่มที่ยอดพระโกศ ดอกไม้ไหวประดับที่กระจังฝาพระโกศ เฟื่องเพชรมีพู่เงินห้อยเป็นระยะทุกมุมประดับที่ปากพระโกศโดยรอบ และดอกไม้เอวประดับที่เอวพระโกศโดยรอบ ประดับเต็มทุกอย่าง

        พระโกศจันทน์ กรมศิลปากรได้มอบหมายให้ นายสมชาย ศุภลักษณ์อำไพพร นายช่างศิลปกรรมอาวุโส สำนักช่างสิบหมู่ เป็นผู้ออกแบบ ซึ่งไม้จันทน์ที่นำมาใช้ในครั้งนี้มาจากอุทยานแห่งชาติกุยบุรี อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และก่อนจะตัดนำมาใช้จะต้องมีพิธีบวงสรวงตัดไม้จันทน์หอมตามโบราณราชประเพณี


พระโกศไม้จันทน์ งานพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ภาพจากกระปุกดอทคอม


ราชรถ

        ราชรถเป็นเครื่องใช้เฉพาะในพระราชพิธีเท่านั้น มีการจัดสร้างมาตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อไม่ใช้งานก็เป็นศิลปวัตถุที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

       โดยจัดเก็บในอาคารเฉพาะที่เรียกว่า โรงเก็บราชรถ เป็นอาคารสูงโปร่งมีประตูพิเศษสำหรับเชิญราชรถที่จะออกใช้งานในเวลาที่เหมาะสม 

       แต่เป็นธรรมเนียมที่ว่าประตูนี้จะเปิดได้ก็ต่อเมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตเท่านั้น ตลอดจนถนนที่จะชักลากก็จะไม่สร้างไว้จนกว่าจะมีหมายกำหนดพระราชพิธีแล้ว จึงจะก่อสร้างและเมื่อเสร็จสิ้นพระราชพิธีถนนนี้ก็จะถูกรื้อทิ้งไป เพราะเชื่อกันว่าหากมีลักษณะพร้อมใช้งานแล้วจะเป็นลางไม่ดี

        ดังนั้นราชรถตลอดจนพระยานมาศที่ใช้ในพระราชพิธีดังกล่าวจึงถูกจัดเก็บไว้เฉยๆ จนเมื่อมีพระราชพิธีจะต้องนำออกมาใช้จึงจะมีการตรวจสภาพและบูรณะปฏิสังขรณ์ แต่ทั้งนี้ก็ต้องมีพระบรมราชานุญาตและต้องจัดพิธีบวงสรวงเสียก่อนเจ้าพนักงานจึงจะทำงานได้

ราชรถ ภาพจาก กระปุกดอทคอม

        ราชรถที่ใช้ออกในพระราชพิธีใช้ราชรถ 2 องค์ได้แก่ราชรถน้อยสำหรับพระสังฆราชประทับนำขบวนแห่ และพระมหาพิชัยราชรถสำหรับทรงพระโกศพระบรมศพ

        พระมหาพิชัยราชรถหรือราชรถใหญ่นั้นปัจจุบันมี 2 องค์เรียกว่าพระมหาพิชัยราชรถ 1 องค์ และพระเวชยันตราชรถอีก 1 องค์

        พระมหาพิชัยราชรถนี้จัดสร้างเมื่อคราวต้นกรุงรัตนโกสินทร์ใช้เป็นครั้งแรกในงานถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกปีพ.ศ.2339 และใช้งานมาตลอดจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

        หลังจากนั้นก็ล้วนแต่ใช้พระเวชยันตราชรถสำหรับอัญเชิญพระบรมศพทั้งสิ้น (แต่ก็จะเรียกว่าพระมหาพิชัยราชรถ) จนกระทั่งมาในปีพ.ศ. 2539 ซึ่งเป็นระยะเวลา200 ปีพอดีจึงนำมาใช้ในงานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีอีกครั้ง

        ในงานพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพคราวนี้ ทางกรมศิลปากร โดยกรมสรรพาวุธทหารบกได้ออกแบบจัดสร้างราชรถองค์ใหม่ 2 องค์ คือราชรถปืนใหญ่และพระที่นั่งราเชนทรยานน้อย

        โดยราชรถปืนใหญ่จะนำมาใช้อัญเชิญพระโกศพระบรมศพเวียนรอบพระเมรุมาศแทนพระยานมาศสามลำคานตามธรรมเนียมเดิม ออกแบบโดย นายชนะ โยธินอุปลักษณ์


ราชรถปืนใหญ่ที่จัดสร้างขึ้นใหม่ รอการตกแต่งลวดลายให้สวยงามจากช่างสิบหมู่
ที่มา By Iudexvivorum - งานของตัว, CC0, https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=59883048



       สำหรับพระที่นั่งราเชนทรยานน้อยจะนำมาใช้อัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารแทนพระวอสีวิกากาญจน์


(มีต่อ)

วันอังคารที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2560

งานออกพระเมรุ และเกร็ดความรู้เกี่ยวกับพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ตอน 1

ความวิปโยคอาดูรอย่างสุดที่จะบรรยายได้ ปกคลุมไปทั่วหัวใจชาวไทยในเย็นวันที่ 13 ตุลาคม 2559 เมื่อมีการแถลงข่าวการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

น้ำตาที่หลั่งไหลมาอย่างห้ามไม่ได้ แม้เวลาผ่านมาหลายเดือนแล้ว ได้สะท้อนให้เห็นถึงความจงรักภักดี และความอาลัยเทิดทูนที่พนกนิกรมีต่อพระองค์ท่าน

แต่แม้เราจะเศร้าโศกเพียงใดการถวายพระเกียรติยศ และพิธีกรรมตามประเพณี ก็ต้องกระทำอย่างเต็มที่  


ภาพโปสการ์ด พระราชทานแก่ผู้เข้าไปกราบพระบรมศพ



งานออกพระเมรุ หรือพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพที่จะจัดขึ้นในเดือนตุลาคม 2560 นี้ หลายคนรู้สึกว่าไม่อยากให้มาถึง แต่สรรพสิ่งต้องดำเนินไป และนี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่พสกนิกรทั่วหล้าจะถวายความจงรักภักดีแด่พระบรมศพของพระองค์ท่านได้

ผู้เขียนมีประสบการณ์เกี่ยวแก่งานพระเมรุมาแล้วถึง 3 พิธี นอกจากจะไปถวายสักการะ เยี่ยมชมพระเมรุ เก็บภาพแล้ว ผู้เขียนยังมีโอกาสอันดีในการค้นคว้าข้อมูล ทั้งจากตำรับตำรา และการสัมภาษณ์ เพื่อเขียนบทความ โดยในครั้งแรกนั้น เป็นงานออกพระเมรุของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ตีพิมพ์ในนิตยสารไลฟ์แอนด์เดคอร์ ปีพ.ศ. 2539



พระเมรุมาศ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จากหนังสือศิลปสถาปัตยกรรมไทยในพระเมรุมาศ

และงานออกพระเมรุของสมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้า กัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ตีพิมพ์ในนิตยสารลิปส์ ฉบับปักษ์หลัง เดือนสิงหาคม 2551 และจัดพิมพ์เป็นหนังสือรวมเล่มชื่อ ธ เสด็จสู่สวรรค์นิรันดร์ สำนักพิมพ์สยามความรู้ ปีพ.ศ. 2551

จากงานค้นคว้า ทำให้ผู้เขียนพบว่า หนังสือที่เผยแพร่ความรู้ในประเพณีทางด้านนี้ มักเต็มไปด้วยศัพท์วิชาการ และการอ้างอิงตำรามากมาย จนเป็นกำแพงขวางกั้นความอยากรู้ของคนทั่วไปเสียอย่างนั้น

ผู้เขียนจึงได้ความคิดที่จะทำหนังสือเกี่ยวกับพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพ ที่ให้ความรู้ถึงที่มาที่ไป ลักษณะของการดำเนินประเพณี และความสำคัญของพระราชพิธี โดยคัดกรองเอาแต่สาระหลักๆ ที่พอจะบรรเทาความอยากรู้ของคนทั่วไป ขณะเดียวกันก็บรรจุรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ที่ไม่แก่วิชาการเกินไปนัก

จุดประสงค์คือ การทำหนังสือให้อ่านง่าย เข้าใจถึงประเพณีที่พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์นั้น และภาคภูมิใจในรากเหง้าของตัวเรา

จนได้หนังสือ “ธ เสด็จสู่สวรรค์นิรันดร์” มาเล่มหนึ่ง(และกลายเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับบทความเรื่องพระเมรุบนสื่อออนไลน์ที่คัดลอกกันซ้ำๆ มาจนทุกวันนี้)

        



บัดนี้ โลกการสื่อสารได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ผู้เขียนจึงได้นำข้อเขียนจากหนังสือและบทความดังกล่าว มาคัดกรองให้ข้อมูลกะทัดรัดยิ่งขึ้น เผยแพร่เป็นความรู้แก่สาธารณชน ให้รู้จักถึงรากเหง้าของประเพณี ที่สั่งสมมายาวนาน อย่างน่าภาคภูมิใจ


และเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติยศแด่พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ อันเป็นที่เทิดทูนยิ่ง ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้


พระเมรุมาศคืออะไร

พระเมรุมาศคืออาคารชั่วคราวที่สร้างขึ้นเพื่อครอบจิตกาธานที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระมหากษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง

เรียกกันภาษาชาวบ้านก็คือเป็นที่เผาศพนั่นเอง

คำว่าพระเมรุมาศนั่นใช้ในพระราชพิธีพระบรมศพสำหรับเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงได้แก่พระมหากษัตริย์, พระอัครมเหสีพระบรมราชินีพระราชชนนีพระบวรราชเจ้า (วังหน้า) พระบรมโอรสาธิราชเป็นต้น


พระเมรุมาศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


ส่วนคำว่าพระเมรุเป็นคำเรียกกลางๆสำหรับเรียกอาคารชั่วคราวที่สร้างขึ้นในงานพระศพและใช้สำหรับพระราชวงศ์ที่ทรงฐานานุศักดิ์รองลงมา

นอกจากนี้ยังมีคำว่าพระเมรุทองด้วยแต่เดิมการสร้างพระเมรุจะประกอบด้วยพระเมรุใหญ่ภายในยังมีพระเมรุทองโดยพระเมรุทองนี้คือจิตกาธานสำหรับถวายพระเพลิงพระบรมศพ

คำว่า “เมรุเผาศพ” ที่เราใช้เรียกอาคารสำหรับเผาศพอย่างปัจจุบันนี้ ก็มีที่มาจากคำว่า พระเมรุมาศนั่นเอง

ส่วนที่เรียกว่าพระเมรุและพระเมรุมาศนี้มาจากคำว่าเขาพระสุเมรุด้วยเป็นการจำลองที่เผาพระบรมศพนี้เป็นดั่งเขาพระสุเมรุในสรวงสวรรค์ เพื่อเป็นการส่งดวงพระวิญญาณแห่งองค์สมมติเทพ กลับไปยังทิพยสถานแห่งพระองค์

       
จิตรกรรมไทย เขียนภาพเขาพระสุเมรุ
       
ลักษณะของพระเมรุและพระเมรุมาศ

พระเมรุหรือพระเมรุมาศที่เราเห็นกันในยุคปัจจุบันเป็นงานก่อสร้างที่ใช้ชั่วคราวประกอบจากวัสดุทดแทนเช่นการใช้กระดาษทองย่นแทนการปิดทองคำจริง


การตกแต่งพระเมรุมาศ ใช้วัสดุทดแทนอย่างกระดาษทองย่น แทนการปิดทองคำเปลว
อาคารหลักหรืออาคารประธานก็คือพระเมรุมาศ 1 องค์จากนั้นจะประกอบด้วยอาคารบริวารเพื่อรองรับการประกอบพิธีกรรมได้แก่พระที่นั่งทรงธรรมสำหรับเชื้อพระวงศ์ในการฟังธรรมซ่างสำหรับพระสงฆ์สวดพระอภิธรรมทับเกษตรทิมศาลาลูกขุนหอเปลื้องราชวัตรเป็นเขตรั้วล้อมบอกอาณาเขตและเสาหงส์




 ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของพระเมรุนั้นก็ใช้แบบอย่างศิลปะไทยคือเป็นอาคารที่มีหลังคาเป็นยอดแหลมอาจทำเป็นยอดปราสาทยอดปรางค์ก็แล้วแต่รูปแบบที่นายช่างจะเป็นคนออกแบบโดยสมมติอาคารหลังนี้เป็นพระวิมานหรือที่อยู่ของเทวดาบางครั้งก็มีมุขยื่นออกมาเป็นมุขเดี่ยวบ้างเป็นจตุรมุขบ้าง


พระเมรุมาศ สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้า กัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
โดยรอบประดับด้วยหุ่นเทวดาถือเครื่องสูงเพื่อเป็นการแสดงพระอิสริยยศโดยรอบพระเมรุ มักตกแต่งด้วยการจำลองป่าหิมพานต์ที่อยู่บนเชิงเขาพระสุเมรุ และจำลองสัตว์และอมนุษย์ซึ่งอยู่ในป่านั้น


หุ่นเทวดาถือเครื่องสูง ประดับบนพระเมรุมาศ

หุ่นอมนุษย์จากป่าหิมพานต์ ตกแต่งโดยรอบ



นอกจากนี้ก็ยังมีเสาหงส์ซึ่งเป็นการประดิษฐ์ตกแต่งเสาไฟที่ให้แสงสว่างให้มีความสวยงามและประโยชน์ใช้สอยอีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์จึงเป็นการออกแบบที่แยบยลประณีตและผ่านการคิดตริตรองอย่างดี

        
เสาหงส์

ภายหลังเสร็จสิ้นงานถวายพระเพลิงแล้วอาคารเหล่านี้จะถูกรื้อถอนส่วนใหญ่จะนำไปถวายวัดเพื่อเป็นการกุศลแด่ผู้วายชนม์

สำหรับพระเมรุมาศที่กำลังก่อสร้างอยู่ในขณะนี้ ทางกรมศิลปากรได้มอบหมายให้นายก่อเกียรติ ทองผุด นายช่างศิลปกรรม สำนักสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร ผู้เป็นมือขวาของ พล.อ.ต.อาวุธ เงินชูกลิ่น อดีตอธิบดีกรมศิลปากรและศิลปินแห่งชาติที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นผู้ออกแบบ



แบบสเก็ตช์


พระเมรุมาศ  เป็นทรงบุษบก 9 ยอดบนชั้นฐานชาลาย่อมุมไม้สิบสอง โครงสร้างภายในเป็นเหล็ก องค์พระเมรุมาศปิดผิวประดับด้วยไม้อัด กรุกระดาษทองย่นตกแต่งลวดลายและเครื่องประกอบพระอิสริยยศ มีเทวดาเชิญฉัตรและบังแทรก มีองค์มหาเทพ 5 พระองค์ คือ พระพิฆเนศวร พระอินทร์ พระพรหม พระศิวะ และพระนารายณ์ รายรอบพระเมรุมาศชั้นลานอุตราวรรตมีสระอโนดาดทั้ง 4 ทิศ มีน้ำไหลจากสัตว์มงคลประจำทิศ สู่สระอโนดาด ภายในสระประดับด้วยประติมากรรมสัตว์หิมพานต์

 บุษบกประธาน ผังพื้นอาคารเป็นสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง ชั้นฐานเป็นฐานสิงห์ เหนือฐานสิงห์เชิงบาตร ชั้นที่หนึ่งเป็นชั้นครุฑยุดนาค เชิงบาตรชั้นที่สองเป็นชั้นเทพพนม เครื่องยอดบุษบกเชิงกลอนเจ็ดชั้น บนยอดสุดปักนภปฎลหาเศวตฉัตร(ฉัตรขาว 9 ชั้น)

โถงกลางภายในเป็นที่ประดิษฐานพระจิตกาธานสำหรับประดิษฐานพระบรมโกศ ติดตั้งฉากบังเพลิงทั้งสี่ทิศ เขียนรูปพระนารายณ์อวตารในปางต่างๆ และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีบันไดทางขึ้นจากฐานชาลาทั้ง 4 ทิศ ทางด้านทิศเหนือของพระเมรุมาศ มีสะพานเกรินสำหรับใช้เป็นที่เคลื่อนพระบรมโกศจากราชรถปืนใหญ่ขึ้นบนพระเมรุมาศ


โมเดลจำลอง พระเมรุมาศ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช 


ฐานชาลาชั้นที่ 1 เป็นฐานสิงห์เป็นรั้วราชวัตร ฉัตร แสดงอาณาเขตพระเมรุมาศ มีท้าวจตุโลกบาลประทับยืนที่มุมฐานชาลาหันหน้าเข้าสู่บุษบกประธาน มีเทวดาคุกเข่าถือบังแทรก

ฐานชาลาชั้นที่ 2 เป็นฐานปัทม์ เป็นที่ตั้งของ บุษบกหอเปลื้องเครื่องยอดบุษบกเชิงกลอนห้าชั้น จำนวน 4 องค์ตั้งอยู่ที่มุมฐานทั้งสี่ที่ใช้สำหรับจัดเก็บพระโกศทองใหญ่และพระโกศไม้จันทน์และอุปกรณ์สำหรับงานพระราชพิธี

 ฐานชาลาชั้นที่ 3 เป็นฐานสิงห์ เหนือฐานสิงห์เป็นฐานเชิง บาตรท้องไม้มีเทพชุมนุมโดยรอบจำนวน 108 องค์ ถัดขึ้นไปเป็นบัวเขิงบาตรฐานชั้นนี้เป็นที่ตั้งของ บุษบกซ่างเครื่องยอดบุษบกเชิงกลอนห้าชั้น จำนวน 4 องค์ตั้งอยู่ที่มุมฐานทั้ง 4 เป็นที่สำหรับพระพิธีธรรม 4 สำรับ นั่งอยู่ประจำบุษบกซ่างโดยจะผลัดกันสวดในการสวดพระอภิธรรมโดยจะผลัดกันสวดที่ละซ่างเวียนกันไปตลอดงานพระเมรุมาศ

ลักษณะพระเมรุมาศพิเศษสุด แสดงศิลปกรรมล้ำเลิศเฉลิมพระบารมียิ่งใหญ่ไพศาลพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ผู้ดำรงสิริราชสมบัติยาวนานที่สุดและสถิตย์อยู่ในหัวใจของชาวไทยนิจนิรันดร์

ส่วนเสาหงส์ที่ใช้ในงานนี้ ผู้ออกแบบได้เปลี่ยนเป็นครุฑ ด้วยครุฑเป็นพาหนะของพระนารายณ์และพระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมุติเทพ เป็นพระนารายณ์อวตารลงมา


(มีต่อ)