วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เส้นทางสายผ้าลาวครั่ง(ฉบับย่อ)

         คุณเคยประทับใจเส้นทางสายไหนเป็นพิเศษไหมคะ?

สำหรับผู้เขียน นึกถึงเส้นทางสายหนึ่งที่แสนประทับใจ และขอเรียกว่า “เส้นทางสายผ้าลาวครั่ง” ล้อ “เส้นทางสายไหม” อันลือชื่อ แม้หนทางจะไม่ทุรกันดาร ยาวไกล หรือเก่าแก่เท่าก็ตาม แต่สำหรับคนรักผ้าแล้ว เส้นทางสายนี้ย่อมประทับใจแน่นอน

เริ่มต้นจากอำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ถนนดีบ้าง แย่บ้าง ตัดผ่านภูมิประเทศที่เป็นภูเขาและที่ราบ ถ้าเป็นเวลาเย็น ทิวทัศน์ในแสงตะวันชิงพลบก็จะสวยมากทีเดียว ถนนผ่านเข้าสู่อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี บนเส้นทางสายนี้นี่แหละ ที่ตัดผ่านชุมชนของชาวลาวครั่ง เจ้าของผ้าผืนงามที่หลากสีหลายลาย และแฝงเรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์เอาไว้

ลาวครั่งเป็นใคร...มาจากไหน...

น้อยคนนักจะรู้จักชื่อนี้ และแม้แต่จะหาข้อมูลอ้างอิงจากตำราก็ยังหาได้ยาก เผลอๆ บางคนก็จะเพี้ยนเสียง “ครั่ง” เป็น “คลั่ง” แล้วพานสงสัยว่า คนกลุ่มนี้คงมีนิสัยดุเดือดน่าดู ถึงต้องเรียกว่า “คลั่ง”

ก่อนอื่นก็ต้องแนะนำกันก่อนว่า ชาวลาวครั่ง เป็นคนไทยเชื้อสายลาวกลุ่มหนึ่งที่ตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายอยู่ในบริเวณภาคกลางของไทย เช่น สุพรรณบุรี อุทัยธานี ชัยนาท นครสวรรค์ และพิจิตร ซึ่งมีพื้นที่ติดต่อกัน มีการย้ายถิ่นไปมา มีการแต่งงาน เป็นเครือญาติกัน และรักษาขนบธรรมเนียม รวมทั้งภาษาพูดเอาไว้อย่างเหนียวแน่น

ส่วนประวัติความเป็นมา ก็กล่าวกันว่า ประเทศลาวในอดีต เมื่อครั้งยังเป็น “ศรีสัตนาคนหุต” ชนกลุ่มนี้อาศัยอยู่ในแถบภูเขาเรียกว่า ภูคัง ต่อมาเมื่อลาวตกเป็นประเทศราชของสยาม มีการรบกันหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายในสมัยเจ้าอนุวงศ์ (พ.ศ. 2364) เมื่อกองทัพลาวพ่ายต่อสยาม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ตรัสสั่งให้เลิกอาณาจักรเวียงจันทน์และหลวงพระบางเสีย แล้วกวาดต้อนผู้คนให้เข้ามาอยู่ในบริเวณใกล้บางกอก

ชาวภูคังก็ถูกกวาดต้อนตามมาด้วย เมื่ออพยพมาแล้วนี้ คนก็พากันเรียกพวกเขาว่า “ลาวภูคัง” แล้วเพี้ยนมากลายเป็น “ลาวครั่ง” “ลาวขี้ครั่ง” บ้างก็เรียก “ลาวเต่าเหลือง” เพราะชอบอยู่ตามป่าเขา และมีความอดทนเหมือนเต่าภูเขากระดองเหลืองชนิดหนึ่ง

ความเป็นมาของชื่อ “ลาวครั่ง” ยังมีอีกตำราหนึ่ง เขาว่ามาจากการที่คนเหล่านี้นิยมใช้ “ครั่ง” มาย้อมสีเสื้อผ้า ครั่งเป็นแมลงชนิดหนึ่งทำรังอยู่ตามกิ่งไม้ ให้สีย้อมสีแดง ซึ่งเป็นสีที่ย้อมยากและเป็นที่ต้องการมากสีหนึ่ง และเราจะยังคงเห็นความนิยมในการใช้สีแดงบนผ้าทอพื้นเมืองของพวกเขา

งานทอผ้าเป็นงานของผู้หญิง ซึ่งเด็กสาวทุกคนก็จะได้เรียนรู้จากแม่ เริ่มด้วยการช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ จนกระทั่งทอผ้าได้ชำนาญ และจะต้องทุ่มเทฝีมือการทออีกครั้งเมื่อจะออกเรือน เพราะเสื้อผ้าเครื่องใช้ ตลอดจนผ้าไหว้ เจ้าสาวจะต้องเป็นคนลงมือทำเอง


แหล่งทอผ้าที่ผู้เขียนได้แวะเข้าไปเยี่ยมชมตามเส้นทางสานนี้เป็นแห่งแรกนั้น เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ บ้านทับผึ้งน้อย อยู่ในตำบลวังคัน อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี

หมู่บ้านแห่งนี้เป็นแบบชนบททั่วไป ชาวบ้านก็เป็นเกษตรกร ในขณะที่แม่บ้านใช้เวลาในยามว่างทอผ้าแบบดั้งเดิมของลาวครั่ง ส่วนหนึ่งไว้ใช้เอง ที่เหลือก็แบ่งไว้ขาย โดยมากก็จะไปฝากรวบรวมกันไว้ที่บ้านของป้าทองศรี ทีปะลา

ผู้เขียนได้พบกับยายไป ทอดี คุณยายอายุ 70 กว่าปีแล้ว แต่ก็ยังทอผ้าอยู่ ยายใจดีมาก ไปขนเอาผ้าต่างๆ ที่ทอไว้แต่ยกให้หลานสาวไปแล้วมาให้ดูตั้งหลายผืน แถมยังตอบคำถามต่างๆ อย่างอารมณ์ดี แม้ว่าผู้เขียนจะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ยายก็อุตส่าห์เล่าซ้ำซากให้ฟัง

“ลายนี้เขาเรียกโซ้ย (สร้อย) อันนี้เรียกนกน้อย โคกครือ นี่เรียก เอาะแอ (อ้อแอ้)” ยายไปอธิบายชื่อลายต่างๆ แล้วหัวเราะ เมื่อผู้เขียนถามย้ำเนื่องจากฟังไม่เข้าใจ แกว่าแกพูดภาษาไทยไม่เป็น พูดได้แต่ภาษาลาว แล้วยังบอกกับผู้เขีนอีกว่า สาวๆ สมัยนี้ เขาพากันละทิ้งการทอผ้า เพราะเห็นว่าเป็นงานจุกจิก ต้องใช้ความอดทนสูง สู้ไปทำงานในเมืองไม่ได้ ส่วนเสื้อผ้าก็หาซื้อเอาในตลาด

ผ้าที่ยายเอามาให้ดูนั้น มีหลายชนิดด้วยกัน ทั้งผาซิ่น ผ้าห่ม และหมอน ซึ่งมีทั้งหมอนสามเหลี่ยม และหมอนหน้าอิฐ ล้วนแต่สีสันจัดจ้าน และที่ไม่ขาดเลยก็คือ สีแดง มีแทรกอยู่ในผ้าทุกผืน จะมีที่สีสันขรึมหน่อย ก็คือ ซิ่นดอกดาวที่ยายไปทอไว้ใส่เอง

ซิ่นดอกดาว

พื้นสีน้ำเงินมืด แล้วใช้คู่สีแดง-น้ำเงินที่เบรคให้สีหม่นลงแล้ว มาจกลายเป็นลายตีน และลาดดาวบนตัวซิ่น ผ้าซิ่นดอกดาวนี้ เป็นซิ่นแบบหนึ่งของลาวครั่ง ตีนซิ่นเป็นลายตีนจกเช่นเดียวกับซิ่นตีนจกมัดหมี่ของลาวครั่ง แต่ตัวซิ่น จกลายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนเล็กๆ พราวไปหมดทั้งผืน

ทับผึ้งน้อยถือว่าเป็นช่วงเขตสิ้นสุดจังหวัดสุพรรณบุรี ขับรถไปอีกนิดเดียวก็ข้ามเส้นแบ่งเขตจังหวัด เข้าเขตของจังหวัดอุทัยธานี ซึ่งเราก็จะได้พบกับบ้านทัพคล้าย ในอำเภอบ้านไร่ ของจังหวัดอุทัยธานี

ที่นี่ยิ่งอบอุ่นกว่าที่ทับผึ้งน้อย เพราะเป็นหมู่บ้านใหญ่ และมีช่างทออยู่กันหลายคนมากกว่า แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นหญิงในวัยกลางคนขึ้นไป แม้กระทั่งคุณยายที่ผมสีดอกเลาแล้วก็ยังคงทอผ้าอยู่ใต้ถุนบ้าน

ที่ทัพคล้ายนี้ เราได้เห็นผ้าที่แตกต่างไปจากทับผึ้งน้อย คือผ้าม่าน ที่ทอลายรูปสัตว์หลายชนิด ทั้งสัตว์ปีกจำพวกไก่ นกสารพัดชนิด สัตว์สี่เท้า เช่น กวาง ม้า แรด ช้าง รวมทั้งมีรูปคนในอิริยาบถต่างๆ

ยายวิง จันทร ปูเสื่อไว้หน้าบ้าน แล้วก็ขนผ้าสารพัดแบบมาให้ผู้เขียนชม แล้วเพื่อนบ้านก็ทยอยกันขนผ้ามาให้บ้างก็มานั่งคุยด้วยเฉยๆ ก็มี

แม้ว่าที่นี่จะอยู่ใกล้กับทับผึ้งน้อย และเป็นเครือญาติกัน แต่ผ้าทอที่นี่มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เพราะการให้สีของลวดลายในผ้าแต่ละผืนนั่นเอง ชาวทัพคล้ายยังคงปลูกฝ้ายและปั่นฝ้ายไว้ใช้เอง และยังมีการย้อมสีธรรมชาติด้วย สีสันของผ้าทัพคล้ายจึงนุ่มนวลกว่า เฉพาะผ้าส่วนนี้เข้าใจว่า คงเป็นอิทธิพลจากแหล่งทอผ้าในบ้านไร่ที่เน้นสีย้อมธรรมชาติ เพราะชาวบ้านที่นี่ทอส่งไปขาย

แต่หากเป็นผ้าซิ่นตีนจก ไม่ว่าจะเป็นซิ่นมัดหมี่ต่อตีนจก หรือจะเป็นซิ่นดอกดาว ก็ยังคงสีสันสด และไม่มีวันลืมสีแดงไปได้

ผ้าลาวครั่งนิยมสีสดใส มักจับคู่สีเป็นคู่ตรงข้าม


ผู้เขียนกล่าวถึงแหล่งผ้าถึงสองแห่งแล้ว แต่ยังไม่ได้กล่าวถึงลักษณะผ้าโดยรวมของลาวครั่งเลย ต้องขออภัยที่เพลิดเพลินกับการดูผ้ามากไปหน่อย

ผ้าลาวครั่งนั้น มีความหลากหลายทั้งในเรื่องลวดลายและเทคนิค เพราะใช้ทั้งฝ้ายและไหม มีทั้งเทคนิคในการทอจกและการมัดหมี่

ผ้าชนิดที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของชาวลาวครั่งก็คือ ผ้าซิ่นมัดหมี่ต่อตีนจก ซึ่งถือกันว่าเป็นผ้าชิ้นเอกของช่างทอลาวครั่ง กล่าวคือ ผ้าซิ่นชนิดนี้ ตัวซิ่นทอด้วยเส้นไหมโดยมัดหมี่เป็นลวดลาย แล้วทอสลับกับลายขิด ซึ่งจะเป็นลายเส้นตั้ง ไม่ใช่ขวางตัวเหมือนอย่างายซิ่นของที่อื่น แล้วต่อด้วยตีนจกซึ่งทอด้วยเส้นฝ้าย (น้อยครั้งจะเป็นไหม) นิยมพื้นสีแดง ส่วนลวดลายนั้นเป็นลายเรขาคณิตที่ไม่มีแบบแผนตายตัว ขึ้นอยู่กับจินตนาการของช่างแต่ละคน ว่าจะพลิกแพลงให้ลวดลายพิศดารอย่างไรก็ได้

ซิ่นมัดหมี่ ต่อตีนจก


ซิ่นต่อตีนจกแดงแบบนี้ บางผืนก็ทอตัวซิ่นเป็นผ้าไหมมัดหมี่ล้วน ไม่มีสลับขิดก็มีเหมือนกัน ก็บอกแล้วว่า ชาวลาวครั่งเขาไม่มีกรอบที่ขีดไว้ตายตัว แล้วแต่ความคิดความสามารถของช่างทอเป็นคนๆ ไป

ส่วนซิ่นอีกแบบหนึ่งก็คือ ซิ่นดอกดาว อย่างที่อธิบายเมื่อข้างต้นไปแล้ว ซิ่นดอกดาวนิยมทอสีพื้นให้มืดเข้าไว้ แล้วจกลายสี่เหลี่ยมเล็กๆ ด้วยโทนสีอ่อนแก่ ประมาณ สามสี เพื่อเลียนแบบท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว ซึ่งถ้าท่านได้เห็นผ้าซิ่นดอกดาวของช่างทอฝีมือดีๆ จะหลงรักทันที เพราะเหมือนดาวบนท้องฟ้าที่ระยิบระยับเอามากๆ

ผ้าห่มของลาวครั่งก็สวยไม่แพ้ใคร ทอเป็นผืนใหญ่ มีลายท้องผ้า และลายเชิงชาย นิยมใช้สีคู่ตรงข้ามนำมาเบรคสีลงแล้วแทรกด้วยสีอื่นเล็กน้อย ซึ่งช่างทอลาวครั่งก็ช่างจับคู่สี และให้จังหวะสีได้เก่งจริงๆ

การจับคู่สีตรงข้ามเขียว-แดง แต่คุมโทนให้อ่อนหวาน เป็นวิธีการให้สีแบบใหม่


ยังมีผ้าม่าน ซึ่งนิยมทอลายรูปสัตว์ต่างๆ เมื่อก่อนเป็นของที่ทำถวายวัด เดี๋ยวนี้ทำตามออเดอร์ สำหรับชาวเมืองเขานำไปแต่งบ้าน

ลายรูปสัตว์และลายเรขาคณิตเหล่านี้ ปัจจุบันมีการประยุกต์ในการทอ ทำเป็นผ้าแบบต่างๆ สำหรับชีวิตคนยุคใหม่ เช่น ผ้ารองจาน ผ้าคลุมเตียง หรือผ้าตัดเสื้อ

ส่วนหมอนนั้น มีทั้งหมอนสามเหลี่ยมและหมอนหน้าอิฐ โดยใช้ลวดลายที่เป็นเรขาคณิต และใช้สีสันสดเหมือนกัน

หมอนขวาน หรือหมอนสามเหลี่ยม


แหล่งทอผาในหมู่บ้านถัดไป ตั้งอยู่ติดกับวัดทัพหลวง และตั้งเป็นศูนย์ทอผ้าแล้ว คือศูนย์ทอผ้าบ้านทัพหลวง มีประธานศูนย์ชื่อ สินเทา ป้อมคำ

พี่สินเทาอยู่กับแม่และพี่สาว โดยที่ตัวเธอไม่ได้แต่งงาน อาศัยเป็นคนขยันทำมาหากินจึงเลี้ยงตัวเองได้ ช่างทอคนสำคัญของศูนย์นี้ก็คือพี่สาวของพี่สินเทา ชื่อมณี พี่สินเทาได้นำซิ่นดอดาวที่พี่มณีเป็นคนทอมาให้ผู้เขียนชม และเล่าให้ฟังว่า ใส่ผ้าซิ่นนี้ออกงานทีไร จะต้องมีออเดอร์ผ้าซิ่นดอกดาวติดไม้ติดมือกลับมาทุกครั้ง เพราะซิ่นผืนนี้ พี่มณีวางสีและจังหวะของลายสี่เหลี่ยมเล็กๆ บนตัวซิ่นได้อย่างเหมาะเจาะ ดูแล้วเหมือนท้องฟ้าที่มีดวงดาวระยิบระยับอยู่จริงๆ

ซิ่นดอกดาวของพี่มณี ด้วยวิธีการให้โทนสีอ่อนแก่อย่างฉลาด เลียนแบบความพร่างพราวของดาวบนท้องฟ้าได้อย่างน่าชม

“ช่างทอเขาเล่ากันว่า ยายเกลี้ยงแกมองฟ้า แล้วก็เอามาทอซิ่นดอกดาว” พี่สินเทาเล่านิทานประกอบลวดลายให้เราฟัง ซึ่งเป็นนิทานปรัมปราที่เล่าสืบต่อๆ กันมา ไม่เฉพาะเพียงซิ่นดอกดาวนี้เท่านั้น ลวดลายอื่นๆ ก็มีเรื่องเล่าฟังเพลินเช่นกัน

“ลายดอกรอด เขาก็เล่าว่าสามีไปรบ ช่างทออยู่บ้านทอผ้า ก็อธิษฐานให้สามีรอดชีวิตกลับมา แล้วก็เลยคิดออกเป็นลาย เรียกดอกรอด

ลายอ้อแอ้ เขาว่าเดินไปไหนๆ มาเหนื่อย กลับมาถึงก็คิดเป็นลาย เรียกว่าอ้อแอ้”

แม้เป็นเพียงนิทานที่เล่าขานกันมา ไม่มีหลักฐานยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ก็สะท้อนให้เห็นถงความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของช่างทอผ้าชาวลาวครั่งที่มีอย่างร่ำรวย และยิ่งน่าสนใจเมื่อเราพบเห็นงานทอในแต่ละแหล่ง แม้มีแบบแผนประเพณีอันเดียวกัน ทว่าในแต่ละท้องถิ่นกลับมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือจะเรียกว่าเป็นลักษณะของช่างเฉพาะคนก็ว่าได้ เพราะในลายเดียวกัน แต่วิธีการให้จังหวะ การใช้คู่สี การแทรกสีล้วนผิดแผกแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เช่นที่บ้านทัพหลวงนี้ พี่มณีทอผ้าที่มีสีสันสด สนุกสนานและมีชีวิตชีวา

น่าเสียดาย ภายหลังผู้ขียนได้ทราบข่าวว่า พี่มณีซึ่งปกติมีโรคประจำตัวเป็นลมชักอยู่นั้นได้เสียชีวิตลงเสียแล้ว เราจึงสูญเสียช่างฝีมืดีไปอีกคนหนึ่ง

ถัดบ้านทัพหลวงไปอีกไม่ไกล คือศูนย์ทอผ้าบ้านบึงซึ่งเป็นศูนย์ใหญ่ที่มีการพัฒนาและก้าวหน้ามากกว่าสามแห่งแรก ศูนย์แห่งนี้มีประธานศูนย์คือ ศรีนิน จันทรักษ์

ลักษณะที่พิเศษแตกต่างจากแหล่งอื่นๆ ก็คือ ที่นี่เน้นการใช้สีย้อมจากธรรมชาติ

พี่ศรีนินได้เล่าให้ฟังว่า แต่เดิมก็ทอผ้าเป็นตามแบบสาวๆ ลาวครั่งทั่วไป คือพอเรียนจบป.4 ก็มาช่วยแม่ทอผ้า ต่อมาได้รู้จักกับคุณวิสุตา สาณะเสน ได้พาพี่ศรีนินไปออกร้านขายผ้าในงานเทศกาลของจังหวัดอุทัยธานี หลังจากนั้นพี่ศรีนินก็เริ่มหันมาทอผ้าขาย จนกระทั่งรวบรวมสมาชิกตั้งเป็นศูนย์ขึ้นมาได้

ผ้าคลุมเตียง ที่นำลวดลายแบบผ้าคลุมไหล่มาประยุกต์ใช้ และย้อมสีธรรมชาติให้นุ่มนวล


ที่นี่ได้นำการทอผ้าแบบดั้งเดิมมาประยุกร์เพื่อผลิตผ้าที่ใช้ได้กว้างขวางขึ้น และเหมาะกับชีวิตของสังคมยุคใหม่มากขึ้น เช่นการนำผ้าห่มมาขยายขนาดทำเป็นผ้าคลุมเตียง ลายเรขาคณิตและลายรูปสัตว์นำมาทอเป็นผ้ารองจาน ผ้าตัดเสื้อ และอื่นๆ ตามแต่จะมีออเดอร์ หรือมีการออกแบบใหม่ๆ

ความรู้ในด้านการย้อมสีธรรมชาตินั้น ก็รวบรวมมาจากคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านที่ยังพอมีความทรงจำในภูมิปัญญาเก่าๆ อยู่ วัตถุดิบก็หาไม่ยาก เพราะมีอยู๋ในท้องไร่ท้องนา ช่างทำกี่และกระสวยก็เป็นคนในหมู่บ้าน ช่างเหล่านี้เป็นพวกพ่อบ้าน แม้ว่าจะมีอายุแล้ว แต่ความชำนาญและความเข้าใจในเชิงช่างมีเหนือกว่าคนหนุ่มๆ อย่างเช่น การทำกระสวยช่างรุ่นเก่าจะคัดเลือกไม้ โดยเลือกเอาไม้โมกมันซึ่งไม่มีเสี้ยน เพื่อจะได้ไม่เกี่ยวเส้นด้ายขาดเวลาใช้งาน

ด้วยพื้นฐานภูมิปัญญาที่มีอยู่เดิม ผสมผสานกับความคิดใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิตที่พี่ศรีนินศึกษามาจากที่อื่น หรือด้านการตลาดและการจำหน่าย ก็ทำให้ศูนย์บ้านบึงก้าวหน้าไปได้มาก และมีการพัฒนาตลอดเวลา

แม้กระนั้นก็ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่น พี่ศรินินบอกว่ามีปัญหาให้ต้องขบคิดตลอดเวลา เช่น การฝึกช่างทอรุ่นใหม่ เพราะเด็กสาวส่วนใหญ่ไม่สนใจ หรือที่มีความสนใจก็ไม่มีเวลามากพอที่จะฝึกฝนให้ชำนาญได้ เพราะต้องเรียนหนังสือ เป็นต้น

ความประทับใจในเส้นทางสายผ้าลาวครั่งเส้นนี้ นอกจากจะได้เพลิดเพลินกับความสวยงามของผ้าทอพื้นเมืองแล้ว อัธยาศัยของชาวบ้านก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่ประทับใจผู้มาเยือน

แหล่งทอผ้าบนเส้นทางสายนี้ยังมีอีกหลายแหล่ง แต่เฉพาะสี่แห่งที่ผู้เขียนเล่าถึง เชื่อแน่ว่าสำหรับคนรักผ้าแล้วก็สามารถเพลิดเพลินจนเวลาล่วงไปอย่างไม่รู้ตัว

***หมายเหตุ 

        หลังจากตีพิมพ์บทความนี้ในวารสารเมืองโบราณ ได้มีผู้อ่านโทรศัพท์มาคุยกับผู้เขียน เขาประทับใจทั้งชื่อและเรื่องราวของเส้นทางสายผ้าลาวครั่งมาก และอยากจะนำไปทำเป็นวิทยานิพนธ์ต่อ ผู้เขียนเองไม่ขัดข้องที่เขาจะนำไปต่อยอด แต่หลังจากนั้นก็ไม่ทราบข่าวความคืบหน้าอีกเลย

        ต่อมา ผู้เขียนเองก็อยากต่อยอดงานเขียนเรื่องนี้ วางแผนไว้ว่า จะขยายเรื่องให้เป็นหนังสือสักหนึ่งเล่ม จึงได้เก็บรวบรวมข้อมูลและเขียนเรื่องนี้เพิ่มเติมขึ้นอีก
       
        กลายเป็นว่า ยิ่งทำ ยิ่งมีข้อมูลให้ศึกษามากขึ้น ถึงบัดนี้ ยังเข้าไปเก็บรวบรวมได้หมดทุกพื้นที่เลยค่ะ น่าเสียดายมากๆ เพราะว่าแต่ละท้องถิ่นมีเรื่องเล่าเรื่องราวที่สนุกสนาน

        วันนี้จึงเพียงนำเรื่องบางส่วนมาเล่าสู่กันฟังในบล็อกก่อน ไว้มีโอกาส จะนำ “เส้นทางสายผ้าครั่ง” มานำเสนออีกนะคะ


6 ความคิดเห็น:

  1. อ่านแล้ว ทำให้รู้วิธีที่จะดูผ้าอย่างสนุกขึ้นครับ ไม่ใช่แค่ว่าเป็นเพียงของสวยๆ งามๆ เยี่ยมมากครับบล็อกนี้

    ตอบลบ
  2. ชอบวิธีการเขียนที่อ่านง่าย อ่านแล้วเห็นภาพค่ะ ^ ^

    ตอบลบ
  3. ตอนนี้ที่ทัพคล้ายก็เหลือน้อยคนแล้วค่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. นั่นสิคะ ไม่ได้แวะไปนานแล้ว คนทอน้อยลงทุกที ยิ่งทอแบบดั้งเดิมยิ่งหายาก เดี๋ยวนี้ มีแต่คนทอแบบประยุกต์ เพราะทำตลาดได้ง่ายกว่า ได้เงินมากกว่า

      ลบ