วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คำปุน ศรีใส ทองเนื้อแท้แห่งเมืองอุบล (2)



ป้าคำปุน กำลังทอผ้าด้วยกี่ส่วนตัวที่แกะสลักด้วยศิลปะพื้นบ้านอย่างดงาม


คุณมีชัยพาเราไปยังเรือนหลังกลางที่ตั้งขวางอยู่ด้านหลัง เป็นเรือนทรงไทยประยุกต์ ที่จัดไว้เป็นห้องแสดงผ้า

“บ้านที่คำน้ำแซบนี่ผมมาทำเอง เริ่มตั้งแต่มาดูที่ ถมที่ ปลูกต้นไม้ ปีแรกที่ทำมีแต่รั้วกับต้นไม้เท่านั้นเองครับ” คุณมีชัยอธิบายขณะพาเรามานั่งตรงหน้าเรือนด้านหลังที่จัดเป็นห้องแสดงผ้า

“แบบบ้านคิดเอง เราเป็นคนทางนี้ ก็ชอบเส้นหลังคาแบบอีสานมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็เกิดคำถามว่า เอ๊ะ ทำไมไม่มีบ้านอีสานสวยๆ อย่างทางเหนือ เขาก็มีกาแล ก็เลยอยากทำขึ้นมา”

ถ้าดูผังของบ้านโดยรวมแล้วจะเป็นลักษณะสมดุล คือ ตรงกลางเป็นลานโล่ง และสระน้ำ มีอาคารโอบเป็นรูปเกือกม้า ด้านหน้าสุดเป็นเรือนหลังเล็กแบบเรียบๆ สำหรับเป็นโรงทอเรียงมาจนเป็นเรือนหลังใหญ่สองหลัง สำหรับเป็นที่พักอาศัย และจบที่เรือนขวางที่เรานั่งอยู่นี่

“ผมทำตามฟังก์ชั่นครับ โรงทอก็จะเรียบๆ ให้โล่ง เพราะเราต้องการใช้เนื้อที่ ส่วนเรือนที่พักก็จะมีอะไรเพิ่มมากขึ้น เพราะเราใช้อยู่อาศัย ห้องน้ำก็ต้องทำใหม่ เพราะเรือนไทยจะไม่มีห้องน้ำ ผมก็ใส่บานเลื่อนไปตามจุดต่างๆ เพราะผมชอบบานเลื่อนครับ (หัวเราะ)”



บรรยากาศภายในโรงทอผ้า


“ที่นี่ไม่ติดแอร์นะคะ” ผู้เขียนตั้งข้อสังเกต

“ครับ ถ้าติดแอร์ก็เสียดาย มาอยู่อย่างนี้แล้วไม่ได้รับอากาศธรรมชาติ พอผมทำบานเลื่อนก็จะเปิดได้กว้างรับอากาศได้มาก แต่ยุงกับแมลงเยอะก็เลยจำเป็นต้องใส่มุ้งลวด ทั้งๆ ที่ไม่ชอบเลย เพราะทำให้บ้านไม่สวย”

แหม! ขนาดบอกว่าไม่สวย สำหรับผู้เขียนแล้วสวยมากๆ และชอบมากๆ ตรงที่ไม่ติดเครื่องปรับอากาศ เพราะคิดเหมือนกันว่า อุตส่าห์ออกมาอยู่ท่ามกลางต้นไม้แล้ว ยังะต้องมาหายใจเอาอากาศที่ผ่านเครื่องซ้ำๆ ไปซ้ำๆ มาอีกหรือ

“ส่วนหลังนี้” คืออาคารแสดงผ้าที่เรานั่งกันอยู่ “ตกแต่งมากหน่อย ผมก็เอาแค่รูปทรงมา ระวังไม่ให้เครื่องหลังคาเยอะเกินไป”

ข้างในมีการตกแต่งที่ประยุกต์มาจากสไตล์ตะวันตก เช่น พื้นไม้ฝังหินอ่อนเล่นลาย บนเพดานเขียนลายดอกไม้ที่ผสมระหว่างไทยกับตะวันตก แต่โดยรวมๆ แล้วพยายามทำให้โล่ง ทาสีขาว เพื่อใช้จัดแสดงผ้า

ผ้าแต่ละผืนที่จัดแสดงอยู่ตามมุมต่างๆ ที่ได้เห็นในวันนั้น แต่ละชิ้นแต่ละผืนงามเด่นแตกต่างกันไป จัดเป็นผลงานชิ้นเด่นๆ ที่ป้าคำปุนรักหนักหนา ส่วนใหญ่เป็นผ้ามัดหมี่สอดดิ้น ซึ่งนอกจากตัวลวดลายมัดหมี่ที่ละเอียดงดงาม สีมัดย้อมที่วางจังหวะได้อย่างลงตัวแล้ว ยังประสานกับประกายของดิ้นทอง แต่ละผืนจึงงามเด่น ชมผืนไหนก็ชอบผืนนั้น สรุปคือสวยทุกชิ้น ไม่มีชิ้นไหนเป็นรองชิ้นไหน

เฮ้อ! ต้องถอนหายใจเพราะประทับใจไปเสียหมด แต่ไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของ เพราะเจ้าของเขารัก เขาไม่ขาย ครั้นจะสั่งทอกับเขาบ้าง สนนราคาก็ไม่เป็นใจกับเงินในกระเป๋าเลย เพราะที่เห็นจนลานตาอยู่นี้ บางชิ้นราคาเป็นแสน ก็เลยได้แต่ชื่นชมเป็นบุญตา

หลังชมผ้าชิ้นสุดยอดกันไปแล้ว อย่านึกว่าหมดแค่นี้ เรากลับมาหาป้าคำปุนที่ใต้ถุนเรือนพัก ยังมีผ้างามๆ ที่ไม่ได้เอาออกมาจัดแสดงอีกหลายชิ้น บางชิ้นเป็นงานสะสมของป้า บางชิ้นเป็นงานที่ลูกค้าสั่งทอไว้

ผ้าไหมสีชมพูสอดดิ้นทองที่ลูกค้าสั่งทอเพื่อใช้เป็นชุดเจ้าสาว

“ชิ้นนี้ลูกค้าเขาสั่งไว้ สำหรับงานแต่งงาน” ไหมพื้นขาวลายชมพูสอดดิ้นทองงามอ่อนหวานผืนนี้ต้องเป็นชุดเจ้าสาวที่สวยมากอย่างแน่นอน

“แบบนี้เรียกว่าผ้าปูม” ไหมแดงเข้มผืนใหญ่ที่คลี่ออกแล้วจะเห็นลวดลายตามแบบแผนคือ ตรงกลางเป็นลายท้องผ้า มัดเป็นลวดลายเล็ก ล้อมด้วยลายขอบที่เรียกว่าเชิงผ้า โดยทั่วไปผ้าปูมเป็นไหมมัดหมี่ ไม่มีการสอดดิ้น และจัดเป็นผ้าชั้นสูงใช้เฉพาะเหล่าขุนนางและข้าราชสำนัก แต่ปูมไหมที่สอดดิ้นทองก็ได้เห็นกันจากฝีมือของป้าคำปุนนี่แหละ ทำให้ยิ่งดูหรูขึ้นไปอีก แต่จะว่าชิ้นไหนสวยกว่าชิ้นไหน ก็ตอบไม่ถูก แหม! ป้าคำปุนเสียอย่างทอผืนไหน ผืนนั้นก็สวย

“ฉันทำผ้าไหม อยู่กับไหมมา ถ้าผืนไหนออกมาสวย ฉันต้องเก็บไว้ก่อน” 

นี่ขนาดเป็นช่างเองยังพูดแบบนี้ ก็เพราะงานฝีมือเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ แบบเดียวกับงานศิลปะ อยู่ที่จังหวะและอารมณ์ของช่างในการทำงานแต่ละครั้ง ไม่ใช่เครื่องจักรที่ปั๊มออกมาได้เหมือนกันหมดทุกชิ้น

“ซิ่นที่คนเชียงใหม่เขาสั่งทอไว้ ลายเลียนลายพม่า เขายังไม่มาเอา นานแล้ว ถ้ามาตอนนี้ ก็ไม่ให้แล้ว” ตอบด้วยรอยยิ้มที่นุ่มนวลแต่แฝงความเด็ดเดี่ยว คนสั่งมาเอาตอนนี้ก็หมดสิทธิ์เสียแล้ว

“ฉันชอบสีม่วงกับสีแดงครั่ง ชอบทุกลาย แต่ต้องอนุรักษ์ของอุบลฯ เอาไว้”


ผ้าปูม


ป้ายังอธิบายอีกว่า ผ้าพื้นเมืองของอุบลราชธานีมีหลายแบบหลายลาย อย่างซิ่นทิวเป็นซิ่นสำหรับคนมีอายุใส่ แต่เดิมไม่ต่อตีน ลายซิ่นเป็นลายทางขวางลำตัว ซึ่งเป็นตัวยืนยันว่าซิ่นลาวก็มีซิ่นลายทางขวาง ไม่เฉพาะว่าจะมีแต่ลายทางตั้ง ที่เรียกว่าซิ่นลายล่องเสมอไป ตัวอย่างก็เช่นซิ่นคั่นสำหรับผู้หญิงใส่ทั่วไป

เหมือนผืนที่ป้าคำปุนทอค้างอยู่ในกี่ ฉันเห็นซิ่นลายนี้มาหลายชิ้น แต่ก็ยังรู้สึกว่าชิ้นที่ค้างกี่อยู่นี้ดูงามกว่าชิ้นไหนที่ผ่านตามา

นอกจากจะอนุรักษ์มรดกเมืองอุบลด้วยการทอลายดั้งเดิมแล้ว รอบๆ ที่นั่งอยู่ ยังมีเครื่องทอผ้าแบบแปลกตา ไม่ว่าจะเป็นกี่ทอผ้าสีแดงที่เป็นไม้แกะสลัก หรือกวักไหม ที่ปั่นด้าย

“ผมพยายามเก็บรวบรวมมาครับ กลัวว่าปล่อยทิ้งไว้ก็จะสูญไปทุกวัน เดี๋ยวนี้ไปที่ไหนก็ไม่มีแล้วครับ” คุณมีชัยเล่าให้ฟัง

เครื่องมือเหล่านี้ล้วนทำจากไม้และส่วนใหญ่ทาสีแดง มีการสลักตกแต่งมากบ้างน้อยบ้างคละกันไป บางชิ้นดูจะมีร่องรอยการปิดทองอยู่ด้วย เป็นเครื่องยืนยันให้เห็นว่างานทอผ้าไม่ใช่เพียงแค่การพุ่งกระสวยให้ด้วยสอดขัดจนกลายมาเป็นผืนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงศิลปะอย่างอื่นด้วย

น่าคิดว่าช่างทอที่มีฝีมือ มี “ศิลปะ” และ “สุนทรียศาสตร์” อยู่ในตัวเอง จะไม่ตกแต่งเครื่องมือทำงานของตัวเองเชียวหรือ เท่าที่ฉันได้ยินได้ฟังมา อุปกรณ์ทอผ้านี้ ผู้ชายหรือพ่อบ้านจะเป็นคนทำให้กับภรรยา ฝ่ายชายที่มีฝีมือทางช่างอยู่แล้วจะไม่ไว้ฝีมือในการทำเครื่องมือให้เมียใช้บ้างหรือ

ฉันอำลาบ้านคำปุนมาพร้อมกับอาทิตย์ที่เริ่มอ่อนแสงเป็นสีอำพัน แม้ไม่มีผ้าไหมผืนงามติดมือกลับมาไว้ชื่นชม แต่ฉันก็ได้ความปลื้มใจ อิ่มเอม จากการที่ได้พบกับความงามแท้ทั้งจากผ้าไหมผืนงาม

และตัวคุณป้าคำปุน-ทองเนื้อแท้แห่งเมืองอุบล

************

ปรับปรุงจากบทความในวารสารเมืองโบราณ ปีที่ 29 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม-กันยายน 2546

4 ความคิดเห็น:

  1. อาจารย์เขียนได้สะอาด ลื่นไหล อ่านแล้วนึกภาพตามได้หมดเลยค่ะ ยุคนี้คงหาคนที่เขียนแบบนี้ไม่ได้แล้ว

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณค่ะ ^___^

      แล้วมาติดตามต่อนะคะ อยากให้ได้รับความรู้สึกที่งดงามจากสิ่งดีๆ ร่วมกันค่ะ

      ลบ
  2. อ่านแล้วอบอุ่นจังค่ะ สมัยก่อนพ่อบ้านทำเครื่องทอผ้า แม่บ้านก็เป็นคนทอผ้าผืนงาม... ^ ^

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ชีวิตที่งดงาม มีเสน่ห์ และความสุขที่หาได้ง่ายๆ

      ลบ