วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คำปุน ศรีใส ทองเนื้อแท้แห่งเมืองอุบล (1)

        เป็นที่รู้กันว่า ถ้าชอบไหมต้องไปอีสาน สุดยอดของไหมงามแห่งหนึ่งที่เลื่องลือเป็นที่รู้จักของนักเลงผ้าก็ต้องที่ “ร้านคำปุน” ในตลาดเมืองอุบลราชธานี เพราะไหมทุกผืนของร้านนี้งามประณีตอย่างหาที่ติได้ยากเหมาะสมกับสนนราคาที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับผ้าไหมจากท้องถิ่นอื่น แต่หากพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว ก็จะไม่เสียดายเงินเลย

        เจ้าของร้าน- ช่างทอนามกระเดื่องจนเป็นบุคคลสำคัญของจังหวัดก็คือ คุณป้าคำปุน ศรีใส ชื่อ “คำปุน” นั้น แปลว่า ทองคำเนื้อดีบริสุทธิ์ ซึ่งเมื่อผู้เขียนได้พบตัวแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า คุณป้าคำปุนนี้ คือทองคำบริสุทธิ์ตัวจริง สมชื่อทีเดียว


คำน้ำแซบ จังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. 2538

ผู้เขียนได้มีโอกาสมาสัมผัสทองเนื้อแท้แห่งเมืองอุบลฯ ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ตามปกติใครอยากได้ผ้าไหมต้องไปที่ร้านคำปุนในตลาด แต่ผู้เขียนโชคดีได้มีโอกาสมาพบกับคุณป้าคำปุนและครอบครัว ทั้งยังได้ชมผ้าชิ้นเยี่ยม ๆ ที่เป็นของรักของหวง และได้พูดคุยถึงชีวิตการทำงานของคุณป้าคำปุนถึงที่บ้านทีเดียว

มองจากด้านนอก จะเห็นรั้วเฟื่องฟ้าดอกบานสีสด กับสีเขยวของต้นไม้ใหญ่น้อยภายใน บ้านคุณป้าคำปุนที่คำน้ำแซบมีอาณาบริเวณค่อนข้างกว้างและโล่งโปร่ง คุณป้าคำปุนรวมทั้งลูกชายคือคุณมีชัย ออกมาต้อนรับอย่างเป็นกันเอง

และที่นับว่าเป็นโชคดีอีกอย่าง ก็คือประจวบกับเป็นเวลาเที่ยง เจ้าของบ้านจึงได้เชิญให้รับประทานอาหารแสนอร่อย ที่แม้แต่ในกรุงเทพฯ เอง ก็หาทานไม่ได้ง่ายๆ

เราเริ่มจากเบคอน-แคนตาลูป ที่ในชีวิตนี้ก็ไม่คิดว่าของสองอย่างนี้จะเข้ากันได้ขนาดนี้ ตามด้วยสปาเกตตี้แอนโชวี่ ยิ่งห้องอาหารที่อยู่ด้านล่างของเรือนขวา เปิดโล่งมองเห็นสวนโดยรอบ และแต่งห้องแบบร่วมสมัย ได้บรรยากาศราวกับอยู่ในสวน แทบทำให้ลืมไปว่า กำลังอยู่ในเขตชนบทของเมืองไทย ทั้งนี้มาจากประสบการณ์ของคุณมีชัยที่เคยทำงานเป็นสจ๊วตและเดินทางมาแล้วรอบโลก


ชั้นล่างจัดเป็นห้องรับประทานอาหาร  ผนังใช้บานเลื่อนเพื่อให้รู้สึกโปร่ง

หลังอิ่มหนำกันดีแล้ว ป้าคำปุนก็พาเรามานั่งคุยกันที่ใต้ถุนเรือน แวดล้อมด้วยเครื่องมือทอผ้าที่เป็นของอีสานแท้ ฝีมือดั้งเดิมที่แกะสลักและตกแต่งอย่างสวยงาม

“แม่ฉันชื่อยายน้อย เป็นคนสอนให้ทอ” ป้าคำปุนเริ่มเล่าประวัติให้ผู้เขียนฟัง

“สมัยนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ฉันก็จบโรงเรียนสตรีที่ยโสธร ตอนนั้นยังเป็นอำเภอ ขึ้นอยู่กับจังหวัดอุบลฯ จะเรียนหนังสือต่อก็ไม่ได้ ก็คิดว่าต้องทำงานฝีมือที่แม่เคยทำ”

คุณยายน้อย- คุณแม่ของป้า จะเรียกว่าเป็นหญิงแกร่งก็คงจะได้ ฟังจากที่เล่า คุณยายน้อยชอบเดินทาง แม้จะพูดได้แต่ภาษาอีสานก็ยังมากรุงเทพฯ คนเดียว อย่างไม่กลัวอะไรเลย

ยายน้อยทอได้ทั้งผ้าไหมและผ้าฝ้าย แล้วนำไปส่งขายยังที่ต่างๆ ขณะนั้นแม้ว่าจะอายุมากแล้ว (83 ปี เมื่อปีพ.ศ. 2538) ก็ยังออกช่วยงานบุญเสมอ ไม่เคยขาด แถมยังไปรำนำขบวนบุญเขาเสียอีกด้วย

ฟังแล้ว อย่าได้นึกว่าป้าคำปุน จะมีบุคลิกเหมือนคุณยายน้อย เปล่าเลย เพราะป้าคำปุนที่อยู่ข้างหน้าผู้เขียนนี้ เป็นสตรีตัวบางร่างเล็ก ท่าทางเรียบร้อย พูดจานุ่มนวล เป็นบุคลิกที่ผิดจากยายน้อยเสียจริงๆ

“ฉันเป็นคนเรียบร้อย ทำงานค้นหูก มัดหมี่ ได้เร็วกว่าคนอื่น จนยายทวดเรียกล้อว่านางอ่อนซ้อย” ป้าเล่าด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“สมัยสาวๆ ฉันเคยนั่งปั่นไหมอยู่บนเรือน ผู้บ่าวเขาผ่านมา เขาก็ล้อว่า แว...แว...บ่แวนี้ แล้วสิไปแวไสฉันโกรธจนร้องไห้” รอยยิ้มบางๆ เมื่อเล่าถึงความหลัง

แหม! คนเขาขยันทำงาน ผู้บ่าวมาล้อแบบนี้ก็ต้องโกรธเป็นของธรรมดา ก็เหมือนนักเรียนยุคนี้ ถ้าขยันท่องหนังสือ เรียนเก่ง เพื่อนๆ ก็มักจะล้อ จะว่าอิจฉา หรือกลัวว่าเพื่อนจะเรียนเก่งกว่าก็ไม่รู้ ทำเอาแทบจะไม่อยากอ่านหนังสือต่อ

ผู้เขียนไม่เห็นมุมไหนจะมีเลี้ยงไหม ก็เลยถามป้าว่าเส้นไหมที่ทอนี่หาจากที่ไหน

“ซื้อเอา” ป้าว่า “ไม่ได้เลี้ยงเอง แต่ก่อนแถวยโสธรก็ซื้อแถวพนมไทย ชาวบ้านใกล้เคียงก็มีเยอะ เดี๋ยวนี้เขาเลี้ยงกันน้อยลง อยากให้เขาเลี้ยงไว้นะ ก็พยายามบอกเขา เพราะฉันเป็นกรรมการวัฒนธรรมหญิง ฉันก็รู้ว่าไหมมีความสำคัญ”

เรื่องไหมเลี้ยง- ไหมโรงงาน ป้าบอกว่าวิธีที่จะแยกว่าเป็นไหมชนิดไหน นอกจากดูลักษณะของเส้นไหมแล้ว ต้องดมกลิ่นด้วย เพราะไหมสองชนิดนี้กลิ่นจะต่างกัน เล่นเอาผู้เขียนอึ้ง เพราะนี่เป็นความรู้เฉพาะตัว ที่ต้องเป็นผู้ชำนาญจริงๆ เท่านั้นถึงจะแยกได้ และคงมีน้อยคนที่จะนึกออกว่ากลิ่นเป็นตัวบอกคุณสมบัติได้อีกวิธีหนึ่ง

“เรื่องย้อมสียังมีปัญหา” ป้าคำปุนเล่าต่อ

“สำคัญตรงที่ต้องใจเย็นๆ เวลาย้อมสี ฉันลงมือเอง ทั้งสีธรรมชาติ สีเคมี สีธรรมชาติคุณแม่สอน เปลือกไม้ยังหาไม่ยาก คนนิยมทั้งสองแบบ เราย้อมดีก็ไม่ตก ย้อมให้อิ่ม แช่ทิ้งไว้ ไปงานไหนๆ กลับมา มาดู ได้ที่หรือยัง ถ้ายังก็แช่ต่อ เวลาล้างก็ต้องล้างหลายน้ำจนน้ำใส เวลาใช้สีก็ไม่ตก”

สีตกเป็นปัญหาที่คู่กับผ้าพื้นเมืองและเป็นกับผ้าพื้นเมืองรุ่นปัจจุบัน เพราะสีผ้าโบราณก็ไม่ตกง่าย ฟังที่ป้าเล่าแล้ว ทำให้น่าคิดว่า การที่สีตกเป็นเพราะต้องการความเร็วในการผลิตหรือเปล่า หรือเป็นเพราะช่างทอไม่มีความเข้าใจในการย้อมสีเคมี แต่ผู้เขียนก็ได้เห็นพัฒนาการของผ้าพื้นเมืองมานาน เรื่องสีตกก็ดูจะค่อยๆ แก้ไขกันไปได้บ้างแล้ว

“ผ้าที่ทอก็มีทั้งแบบอนุรักษ์ผ้าโบราณ และแบบประยุกต์ และทอตามที่ลูกค้าสั่ง เมื่อก่อนมีกี่อยู่ 4 หลัง ต่อมาก็ขยายมาเป็น 11 หลัง เดี๋ยวนี้มี 24 หลัง งานหนัก แต่ดีที่มีลูกชายมาช่วย”

ลูกชายคนนี้ คือคุณมีชัย ซึ่งเป็นคนที่สองในบรรดาลูกๆ สี่คน

“ไม่ได้สอนอะไร แต่เขาสนใจ มาดู มาซักถาม ตอนหลังเขาเห็นว่าแม่เหนื่อยมาก เขาเองก็ชอบทางนี้ เคยไปมาหลายประเทศ ได้เห็นได้ศึกษามาเยอะ ก็มาช่วยงาน มาออกแบบลายผ้า อันไหนเขานิยมเขาก็ออกแบบ อันไหนเราชอบเราก็ออก”

ด้วยวิธีนี้ ทำให้ลายผ้าของไหมคำปุนมีหลากหลาย ทั้งแบบแนวอนุรักษ์และแบบร่วมสมัย จึงไม่แปลกเลยที่ลูกค้าของไหมคำปุนจะมีมากมาย

“บางครั้ง ฉันใส่ออกงาน คนเห็นสวย อยากได้ เราก็ต้องทอให้เขา”

ผู้เขียนแอบมองชุดที่ป้าใส่อยู่มาตั้งแต่ต้นแล้ว ถึงตอนนี้ ก็ไม่แปลกใจ แม้ดูไกลๆ ป้าคำปุนก็แต่งแบบเรียบๆ เสื้อเป็นไหมสีครีม ผ้านุ่งเป็นไหมมัดหมี่ แต่พอดูใกล้ๆ สีครีมเรียบๆ กลับมีเนื้อลายในตัวที่มีเฉดเข้ากันได้สนิทกับสีผ้านุ่ง มองดูตรงไหนก็ไม่รู้จะติอะไร ผู้เขียนเองก็ยังอยากได้ไว้เป็นสมบัติส่วนตัว

คำปุน ศรีใส

ขั้นตอนของการผลิตเริ่มจากหาวัตถุดิบคือเส้นไหม แล้วผ่านการออกแบบ มัดย้อมเรียบร้อย ก็ส่งถึงมือช่างทอ ในจำนวนกี่ 24 หลังที่ป้าบอก

“คนงานที่เขามัดหมี่เขาจะไม่อยากทอ คนทอก็ไม่อยากมัดหมี่ แต่ละคนถนัดไม่เหมือนกัน แต่ฉันว่ามัดหมี่ยากกว่าทอ”

“คนทอฉันให้เขากินอยู่ในนี้ แต่ก็ให้ออกไปเที่ยว ก็สอนเขาว่าถ้าเขาทำสวย เราก็ให้ราคาไม่จำกัด คนทอเขาได้เยอะ บางคนเก็บเงินซื้อนาได้ เราก็ดีใจด้วย ถ้าใครแต่งงานมีสามี ก็เช่าบ้านให้อยู่ใกล้ๆ เอากี่ไปให้เขาทอ ส่วนใหญ่เขาจะทอเป็นอย่างเดียว น้อยคนมากที่จะทำได้ทุกอย่าง”

มีคนเยอะปัญหาก็ตามมา เช่นเดียวกับที่ป้าคำปุนก็เคยเจอ

“เราก็จะมีคนเก่าคนแก่เป็นหัวหน้า คอยดูแลเป็นหูเป็นตาแทนเรา เคยมีอยู่คนหนึ่ง หัวหน้ารับเข้ามาแล้ว จะขอกลับบ้าน เราก็ให้กลับ หัวหน้าก็ตรวจกระเป๋าก่อน แล้วมาบอกเราว่า แม่ ! รังไหมเต็มกระเป๋าเลย”

ก็นับว่ายังดีที่ป้าคำปุนมีคนที่พอไว้ใจได้ช่วยงานอยู่ เรื่องนิสัยใจคอจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ทำงานด้วยกันได้ และยังเป็นสิ่งสำคัญอีกด้วยในการทอผ้า

“คนที่สาวไหมได้ดีก็จะทอผ้าได้ดี อยู่ที่จิตใจ ต้องใจเย็น ต้องมีสมาธิ เวลากระทบฟืมแต่ละครั้ง แรงต้องเท่ากัน ถ้าไม่เท่ากัน ผ้าก็จะโย้ไปโย้มา ทอผ้าจะวอกแวกไม่ได้”

“หนูรู้ไหม ผ้าอะไรทอยากที่สุด” ป้าคำปุนหันมาถามเราบ้าง

“ผ้ามัดหมี่?” ผู้เขียนเดา

“ผ้าขาว” ป้าตอบยิ้มๆ 

“เวลาทอผ้าขาว เราต้องอาบน้ำให้สะอาด ต้องใจเย็น นิ่งๆ มีสมาธิ เพราะผ้าขาวเลอะง่าย ถ้าทอไม่ระวัง ผ้าก็จะออกมาไม่สวย”

สูงสุดคืนสู่สามัญจริงๆ ด้วยสายตาเรา เรามักจะรู้สึกว่าผ้าขาวน่าจะง่ายที่สุด ก็ไม่ต้องมัด ไม่ต้องย้อม ทออย่างเดียว ไม่มีขั้นตอนอะไรซับซ้อน แต่กลับเป็นงานที่ยากที่สุดที่จะทำออกมาให้ดี 

มิน่า ชาวบ้านเขาถึงทอผ้าขาวกันไว้ใช้ในงานบุญ เรียกว่านอกจากได้บุญกุศลแล้ว ยังช่วยชำระให้ใสสะอาดสงบเย็นอีกด้วย


คุยกันมาได้พักใหญ่ คราวนี้ถึงคราวอวดผ้า คุณมีชัยเป็นคนอาสาพาเราชม เพราะจะได้ชมเรือนไปด้วยในตัว ส่วนป้าคำปุนก็ลุกไปนั่งประจำกี่ของตัวเอง (กี่พิเศษสีแดง แกะสลักสวยงาม ผิดกับที่เคยเห็นทั่วไป)
(มีต่อ...)

15 ความคิดเห็น:

  1. มันเป็นบล็อกที่เยี่ยมมากครับ

    ตอบลบ
  2. ติดตามต่อนะคะ

    สำหรับแฟนคลับ "แก้มนวล" จากคอลัมน์พื้นบ้านพื้นเมือง ใน Life&Decor มาติดตามเรื่องราวดีๆ ต่อได้ในบล็อกนี้ค่ะ

    ตอบลบ
  3. เพิ่งจะชอบผ้าไทยค่ะ อ่านแล้วซึ้งเลย

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. นอกจากความสวยงามแล้ว ผ้าไทยยังมีเรื่องราวชีวิตของผู้คนถักทออยู่ด้วยค่ะ บางเรื่องก็เรียบง่าย บางเรื่องก็ตื่นเต้น สนุกสนานค่ะ

      ลบ
  4. ส่วนตัวดูผ้าไม่เป็นค่ะ แต่เคยเห็นผ้าที่มีคนซื้อจากอุบลแล้วบอกว่าเป็นของป้าคำปุน ผืนละหลายหมื่น

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. สงสัยเป็นงานมัดหมี่ หรือผ้าปูม แต่ไม่ได้สอดดิ้นทองมั้งคะ เพราะแบบสอดดิ้นทอง ต้องเป็นแสนอัพค่ะ เห็นแล้วน้ำตาจิไหล งามเหลือเกิน (แต่กระเป๋าสู้ไม้ไหวค่ะ แฮะ แฮะ)

      ลบ
    2. ใช่ค่ะๆๆๆ เป็นผ้าปูม ไม่เคยนึกว่าผ้าปูมจะแพงขนาดนั้น (แค่หลายหมื่นก็น้ำตาจิไหลแร้วค่ะ)

      ลบ
    3. ต้องเห็นใจคนทำค่ะ ผ้าปูมลวดลายซับซ้อน มี 5 สีก็ต้องย้อม 5 ครั้ง มี 7 สีก็ต้องย้อม 7 ตรั้ง พวกเราได้ชื่นชมน้ำตาไหลเท่านั้น 5555

      ลบ
    4. แต่ไม่ได้มีเกินกว่า 7 สีใช่มั้ยคะ ^ ^"

      ลบ
    5. ถ้าจำไม่ผิด เคยมีผ้าที่ประกวดได้รางวัลระดับนานาชาติ มัดย้อม 9 หรือ 11 สีนะคะ ไม่แน่ใจ ข้อมูลนานแล้ว ถ้าจะค้นก็ต้องรื้อตู้เอกสารทั้งตู้ค่ะ = =

      ลบ
  5. อาจารย์เขียนดีจังคะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณค่ะ แล้วมาติดตามกันเรื่อยๆ นะคะ ^ ^

      ลบ
  6. ไม่มี Life&Decor ให้อ่านก็ได้มาตามอ่านจากบล็อกนี้ละค่ะ ชื่นชมๆๆๆๆ ^0^

    ตอบลบ