วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ยายพอ แม่เฒ่าลาวโซ่ง นครปฐม 2

ผู้เขียนถ่ายรูปเสร็จจากบ้านยายพอ ก็เตร่ไปบ้านใกล้ๆ เพราะเห็นที่ใต้ถุนเรือน มีป้ามียาย 3-4 คน นั่งทำอะไรกันง่วนอยู่ หมู่บ้านนี้สงบมาก แต่ไม่เงียบเหงา เรือนปลูกอยู่ใกล้ๆ ไม่มีการล้อมรั้ว ส่วนใหญ่ก็จะนั่งทำงานกันอยู่ใต้ถุนบ้าน


หญิงชาวโซ่งมักใช้ใต้ถุนบ้านเป็นที่ทำงาน


        “ยายทำอะไรจ้ะผู้เขียนร้องทัก

        ยายเงยหน้าขึ้นมองแว่บหนึ่ง เสื้อฮีมือที่เหี่ยวย่นตามอายุขัย แต่ยังมั่นคง ค่อยจับค่อยดึงด้ายสีแดงปักเป็นลวดลายอย่างประณีต

        “ไว้ใช้หรือยาย

        “เปล่า เขามาจ้างทำ จะใช้งานแต่ง

        เสื้อฮีคือเสื้อพิเศษของชาวโซ่ง ชาย-หญิงมีแบบไม่เหมือนกัน ทำจากผ้าพื้นสีดำหรือครามแก่ ปักลวดลายตกแต่งทั้งสองด้าน ใช้ในพิธีกรรมต่างๆ เช่น งานแต่งงาน พิธีเสนเรือน ทำบุญต่ออายุ ซึ่งเป็นพิธีมงคลเหล่านี้ เขาจะใส่เสื้อโชว์ด้านนอก ซึ่งปักลวดลายไม่มาก เป็นด้านที่ไม่ค่อยสวย

        แต่หากเป็นพิธีอวมงคล เช่น พิธีศพ เชิญผีผู้ตายขึ้นเรือน หรือคลุมโลงศพ เขากลับด้านในออกมาใช้ เป็นด้านที่ปักลวดลายไว้อย่างสวยงามยิ่งกว่าด้านนอก การใช้เสื้อฮีในพิธีกรรม บางครั้งก็สวมทับเสื้อผ้าปกติ บางครั้งก็แค่มาพาด หรือคาดอกก็ได้เหมือนกัน

        แม้ในชีวิตประจำวัน ชาวโซ่งจะเปลี่ยนมาใช้เสื้อผ้าสมัยใหม่ แต่ก็ต้องมีชุดประเพณีเก็บไว้สำหรับใช้ในพิธีกรรมสำคัญๆ งานฝีมือเหล่านี้ก็เลยยังพอมีผู้สืบทอดอยู่บ้าง


งานปักเสื้อฮี


        “มันยาก สาวๆ เขาบ่เอาแล้วยายแกว่า สาวๆ เดี๋ยวนี้เขาทำบ่เป็น ใครอยากได้ก็ต้องมาจ้างคนแก่ทำ

        ฟังคุ้นๆ ไหมค่ะ งานฝีมือยากๆ มักมีคำบอกเล่าแบบนี้ เวลานั้นเป็นช่วงปีก่อนที่จะมีสินค้าโอทอปและการส่งเสริมผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่คึกคักกันยามนี้

        ด้านหนึ่งก็ดูเหมือนจะเป็นการส่งเสริมงานฝีมือชาวบ้าน แต่อีกมุมหนึ่ง สัญญาณเตือนภัยกำลังดังแว่วๆ

        การพัฒนาหัตถกรรมให้เป็นสินค้าส่งออก ต้องเข้าระบบอุตสาหกรรมและการตลาด หัตถกรรมบางชนิดเป็นมรดกทางฝีมือที่ไม่สามารถพัฒนาไปสู่การผลิตเชิงอุตสาหกรรมได้ เช่น งานปักเสื้อฮี ของชาวโซ่ง โดยรูปแบบไม่อาจตอบสนองการใช้สอยของประชาคมโลกได้ เพราะเป็นสิ่งที่ใช้เฉพาะในพิธีกรรมของชาวโซ่ง งานแบบนี้ยิ่งมีสภาพเหมือนถูกทอดทิ้ง อาจร้ายแรงยิ่งกว่ายุคบูมสินค้าโอทอปอีกก็ได้

        การพัฒนาหัตถกรรมเพื่อให้สามารถขายได้อย่างนโยบายคิดใหม่ทำใหม่เวลานี้ เป็นสิ่งดีที่ผู้เขียนก็สนับสนุน

        แต่จะดียิ่งขึ้น น่าสรรเสริญยิ่งขึ้น หากรัฐบาลมีนโยบายในการส่งเสริมและอนุรักษ์หัตถกรรมที่ไม่ใช่สินค้าโอทอปหัตถกรรมที่เป็นมรดกทางภูมิปัญญา รักษาความงามในจิตวิญญาณของรากเหง้า ให้เป็นสินค้าหัตถกรรมที่ขายความภาคภูมิใจ และขายฝีมืออย่างแท้จริง อีกประเภทหนึ่งด้วย

        ผู้เขียนมีความกลัวอยู่ลึกๆ ว่า บรรยากาศที่ชื่นใจเช่นหมู่บ้านนี้จะถูกคุกคามเหมือนกับที่อื่น แต่เมื่อเดินมาชมเรือนอีกหลังหนึ่ง ผู้เขียนก็มีความหวังขึ้นมาใหม่

        เรือนไม้อายุประมาณ 50 ปี ทาสีแดงทั้งหลัง ตกแต่งเป็นแบบกึ่งไทยกึ่งโซ่ง แปลกตา แต่ก็สวย บันไดทางขึ้น เจ้าบ้านปลูกต้นไม้จัดเป็นสวนหย่อมเล็กๆ คล้ายสวนสมัยใหม่ แต่ก็กลมกลืนไปกับตัวเรือน



งอบ ฝีมือหมอพลอย


        น่าเสียดายที่เจ้าของบ้านไม่อยู่ แต่เพื่อนบ้านก็เล่าให้ฟังว่า เจ้าของพยายามรักษาไว้ เพราะเป็นเรือนของปู่ย่าตาทวด ต้องการจะอนุรักษ์เรือนโซ่งที่หาดูแทบไม่ได้แล้วในปัจจุบันเอาไว้ เจ้าของเดิมนั้นชื่อ พลอย เป็นพ่อหมออายุกว่า 80 ปีแล้ว เพิ่งจะเสียไป 5-6 ปี ปัจจุบันลูกชายก็มาเป็นพ่อหมอแทน

        เรายังได้เห็นฝีมือจักสานของพ่อหมอพลอยทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า เป็นงอบฝีมือละเอียดสวยงามและทนทาน ผู้ชายโซ่งได้ชื่อว่าเป็นช่างจักสานฝีมือฉกาจ และจักสานมีรูปแบบที่แปลกต่างไปจากถิ่นอื่น นอกจากกะเหล็บที่มีสานให้สาวๆ (คนรัก) ใช้กันแล้ว ก็ยังมีจักสานอื่นอีก เช่น พานเผืน เป็นจักสานขนาดใหญ่ ทรงกลม คล้ายกระด้ง แต่มีขอบสูงกว่ามาก สำหรับใช้ในพิธีเสนเรือน


พานเผืน


        อาจารย์เปรื่องยังได้ปีนขึ้นไปดูเรือน 2-3 หลัง นอกจากเรือนแดงของพ่อหมอพลอยแล้ว เราก็ยังได้ไปดูเรือนของยายสี ถิ่นยวน ที่อยู่ตรงข้ามกัน

        เรือนโซ่งเขาจะมีครัวไฟแยกออกมาอาจารย์พาเราไปดูแล้วบรรยายให้ฟัง


ภายในครัวไฟแบบโซ่ง


        ลักษณะเรือนของแต่ละชาติพันธุ์ มีความแตกต่างกันไปตามประโยชน์ใช้สอย ครัวไฟ เป็นบริเวณที่ต้องมีทั้งควันทั้งกลิ่น ส่วนใหญ่จึงมักแยกครัวออกมาให้เป็นสัดส่วนต่างหาก

        เช่นเดียวกับเรือนของยายสี ถิ่นยวนหลังนี้ ก็มีแบบแผนการใช้สอยอย่างดั้งเดิม คือมีครัวไฟแยกออกมาต่างหาก ทำชายคาต่ำกว่าเรือนอาศัย หน้าต่างบานเล็กและเตี้ย เพื่อไม่ให้กลิ่นและควันจากการทำครัวเข้ามารบกวนเรือนด้านที่ใช้อาศัย

        ส่วนร่องระหว่างพื้นต่างระดับนั้น ก็ทำไว้เพื่อให้ลมเข้า


ยายสี ถิ่นยวน นั่งอยู่หน้าครัวไฟ กับบรรดาเครื่องใช้ไม้สอยแบบชาวโซ่ง ครกไม้ตำหมาก เชี่ยนหมากไม้ กะเหล็บ และกะติ๊บ


        นี่เป็นภูมิปัญญาของชาวโซ่งในการจัดการกับเรื่องการถ่ายเทอากาศ เพื่อให้คนที่อาศัยอยู่บนเรือนนั้น สะดวกสบาย ไร้ปัญหาที่สุด เพราะเรามองไม่เห็นพัดลมดูดควัน หรือแม้แต่พัดลมสักตัว เวลานั่งอยู่บนเรือนก็กลับไม่ร้อนอบอ้าว ทั้งที่ท้องฟ้าโปร่ง แดดเปรี้ยง

        ยายสีเล่าว่า ตอนหมั้น ก็ได้กะเหล็บเป็นของหมั้นเช่นกัน เวลานั้นอายุ 25 ปี ตาชื่อเสือบ แก่กว่า 4 ปี วันนี้ตาไม่อยู่ไปวัด ที่ยายตัดสินใจเลือกตาเสือบก็เพราะว่าเป็นคนทำมาหากิน

        ฟังวิธีการเลือกคู่ของคนที่ดอนขมิ้นนี้สิคะ สาวๆ สมัยนี้ควรจดจำเอาไว้ อย่างยายพอ ก็เลือกคนที่คุยแล้วสบายใจ ส่วนยายสี ก็เลือกคนขยันขันแข็งทำมาหากิน แล้วก็อยู่ด้วยกันยืดยาวมาจนแก่เฒ่า มีความสุขดี

        ไม่เห็นเลือกจากรูปร่างหน้าตา หรือว่าทรัพย์สมบัติเลย


        ยายสีเป็นคนเงียบๆ ไม่ช่างพูดช่างคุย บุคลิกก็ขรึมต่างจากยายพอ แต่ก็มีอัธยาศัย พูดคุยง่าย ถามอะไรก็ตอบ เอากะเหล็บ กะติ๊บ เชี่ยนหมาก และกระต่ายขูดมะพร้าวรูปทรงแปลกตามาให้ถ่ายรูป

        ผู้ชายชาวโซ่งนี้ก็มีฝีมือทางช่างเสียจริง ทำงานจักสานรึก็ประณีต สวยงาม แข็งแรง ทำงานไม้อื่นก็รู้จักสรรหาประดิษฐ์ประดอย...

        ทั้งยายสีและยายพอต่างเล่าตรงกันว่า ปู่ย่าตายายเป็นคนเมืองเพชรบุรีกันมาก่อน ต่อมาก็อพยพมาอยู่ที่นี้ แล้วบางส่วนก็เดินทางต่อไปตั้งถิ่นฐานที่สุพรรณบุรี

        เราจึงพบเห็นหมู่บ้านโซ่งกระจายตัวกันอยู่ในภูมิภาคตะวันตกนี้ ตั้งแต่เมืองเพชร นครปฐม สุพรรณบุรี ที่ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นชุดแต่งกาย งานช่างฝีมือ และประเพณีอย่างพิธีเสนเรือน (ไว้มีโอกาสจะมาเล่าให้ฟัง)

        บ้านดอนขมิ้น ถิ่นลาวโซ่งนี้ แม้จะไม่หรูหรา อลังการ แต่กลับให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง สบายใจ มีความสุข ด้วยบรรยากาศชนบทที่สะอาดตา เป็นระเบียบ เรียบง่าย สุดแสนประทับใจ


บรรยากาศที่แสนสบายของหมู่บ้านดอนขมิ้น