วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559

ยายพอ แม่เฒ่าลาวโซ่ง นครปฐม

นอกจากพระปฐมเจดีย์แล้ว ดูเหมือน นครปฐมจะเป็นจังหวัดเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักว่ามีของดีอะไรบ้าง และด้วยความที่ใกล้กรุงเทพฯ มาก ก็ถูกคนกรุงเทพฯ มองข้ามไปเหมือนกัน เช่นเดียวกับผู้เขียน ที่มีเพิ่มเติมขึ้นมาอีกหน่อยก็คือ จำได้ว่า จังหวัดนี้มีของกินอร่อย

ความที่ไม่รู้จัก เมื่อถูกอาจารย์เปรื่อง เปลี่ยนสายสืบท่านชวน บอกว่า ไปสำรวจหมู่บ้านแถวนครปฐมกันเถอะ ผู้เขียนก็นึกไม่ออกว่าจะได้พบอะไรบ้าง แต่ความที่เชื่อในความรู้ของท่าน ก็เลยตามไปด้วย

แม้ผ่านมาหลายปีแล้ว ผู้เขียนยังจำได้ว่า ทิวทัศน์ 2 ข้างทางระหว่างที่เดินทางนั่น แม้ไม่สวยเด็ดแบบเมืองเหนือ แต่ก็ยังคงมีภาพของชีวิตชาวชนบทที่เรียบง่าย ไม่ว่าจะเป็นสะพานไม้ไผ่ท่อนเดียวข้ามลำคลองเล็กๆ  ชาวบ้านจับปลามาทำปลาร้าข้างทาง แถมยังบอกกับเราอีกว่า ทำปลาร้าส่งนอก (ใครจะนึก!)

รถข้ามสะพานแม่น้ำท่าจีน เลี้ยวซ้ายไปเรื่อยๆ แล้วข้ามสะพานอีกหลายแห่ง (ให้ไปอีกที อาจจะหลง)

ดอนขมิ้นป้ายบอกทางข้างเชิงสะพานแห่งหนึ่ง อาจารย์ชี้บอกให้เลี้ยวเข้าไป

เราเคยมาสัก 10 ปีได้แล้ว  บังเอิญนั่งรถผ่านมา เห็นชาวบ้านแต่งชุดโซ่ง ก็เลยตามเข้ามาอาจารย์บอก ทำให้ผู้เขียนนึกในใจว่า แล้วสิ่งที่ทำให้อาจารย์ประทับใจเมื่อ 10 ปีที่แล้วนี่ จะหลงเหลืออยู่หรือเปล่าหนอ

คำตอบอยู่ข้างหน้า

ใต้ถุนเรือนหลังหนึ่ง อาจารย์เข้าไปทักยายแก่ๆ นุ่งโจง คาดอกด้วยผ้าขาวม้า ผมสีดอกเลามุ่นเป็นมวยกลางศีรษะเสียบด้วยปิ่นเงินแบบลาวโซ่ง นั่งตะบันหมากอยู่ มีเด็กหญิงตัวเล็ก หน้าตาจิ้มลิ้มคลอเคลียไม่ห่าง

ยายพอใช่ไหมอาจารย์ทัก



ยายพอกับหลานสาว


ยายพยักหน้ารับ พูดคุยท้าวความกันเล็กน้อย ยายก็จำอาจารย์ได้ ว่าเคยมาขอถ่ายรูปเมื่อหลายปีก่อน ยายพอดูเป็นคนพูดจาน้อยคำ แต่ก็ใจดี เพราะรู้ว่าเราจะมาขอถ่ายรูป ก็ขึ้นไปขนหมอนที่ทำเรียงไว้เป็นตับในตู้มาให้เรา

บ้านดอนขมิ้นนี้ เป็นหมู่บ้านชาวลาวโซ่ง อยู่ในอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีกลุ่มชาติพันธุ์หลายพวกอาศัยอยู่ ดังเช่นชาวลาวโซ่ง หรือลาวทรงดำ แต่ความที่กลุ่มลาวโซ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี มีการประชาสัมพันธ์ และรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนมากกว่า ทำให้คนรู้จักแต่ว่ามีลาวโซ่งอาศัยอยู่ในจังหวัดสุพรรณบุรี ความจริงแล้ว ชาวลาวโซ่งกระจายตัวอยู่ในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทยหลายจังหวัด นอกจากสุพรรณบุรี นครปฐมแล้ว ที่ราชบุรีก็ยังมี

ลาวโซ่งก็มีเอกลักษณ์ในด้านการทอผ้าและงานฝีมือเป็นของแบบฉบับของตัวเอง เสื้อผ้าโดยรวมเป็นพื้นโทนสีดำหรือครามแก่ แล้วตกแต่งลวดลายเล็กๆ เป็นสีสด ทำให้เป็นที่มาของการได้ชื่อว่า ลาวทรงดำแล้วกลายมาเป็น ลาวโซ่งในที่สุด

ผ้าทอโซ่งที่รู้จักกันแพร่หลายก็คือ ซิ่นลายแตงโม เป็นซิ่นพื้นดำหรือครามแก่ มีเส้นสีฟ้าหรือสีอ่อนเป็นลายทางตั้ง ที่เชิงติดตีนซิ่นที่ทอต่างหากกว้างประมาณ 2-3 นิ้ว แล้วนำมาเย็บต่อกัน มักสวมกับเสื้อพื้นสีดำหรือครามแก่ ตัดเป็นเสื้อรัดรูปพอดีตัว เอวสั้น แขนกระบอกรัดข้อมือ คอเสื้อเป็นแบบคอจีน ผ่าด้านหน้าและติดกระดุมเงินเม็ดกลมๆ ท่อนบนก็ใช้ผ้าเปียวคาดอก นี่เป็นชุดแต่งกายดั้งเดิมของหญิงโซ่ง


ผู้หญิงโซ่งในชุดพื้นเมือง  ภาพจาก
http://www.bloggang.com/mainblog.php?
id=chaiwat4u&month=22-02-2009&group=5&gblog=24


และสำหรับหญิงที่แต่งงานแล้ว ก็ยังมีผ้าคาดอก ที่เรียกว่า ผ้าเปียว ผ้าเปียวเป็นผ้าแถบยาวพื้นดำ ริมผ้าปักด้ายเป็นลวดลาย และปักลายดอกไม้ที่ชายทั้งสองด้าน ลายปักนี้มีความละเอียดประณีต ผู้ปักต้องปักให้ลายทั้ง 2 ด้านเหมือนกัน ดูด้านไหนก็ได้ ใช้ด้านไหนก็สวย เป็นศิลปะที่ละเอียดน้อยคนนักจะทำได้

ยังมีเสื้อที่เรียกกันว่า เสื้อฮีเป็นเสื้อพิเศษที่ใช้ในพิธีกรรมต่างๆ มีทั้งแบบสำหรับผู้หญิงและผู้ชาย ใช้ผ้าพื้นสีดำ แล้วปักลวดลายด้วยไหมสีเขียวแดง และตกแต่งด้วยผ้าที่เย็บเป็นลวดลาย แบบที่ฝรั่งเรียกว่า งานแพ็ตช์เวิร์ค หรืองานด้นมือ



เสื้อฮีของผู้หญิง ด้านใน
ภาพจาก http://www.openbase.in.th/node/5580


ที่เด่นอีกชิ้นหนึ่งก็คือหมอน ซึ่งจะทำเป็นหมอนสี่เหลี่ยม หรือที่เรียกว่า หมอนอิฐ แล้วตกแต่งลายหน้าหมอนด้วยผ้าที่เย็บเป็นลวดลายเช่นกัน

งานผ้าของลาวโซ่งจึงมีความเด่นที่การใช้พื้นดำ ตัดกับลวดลายที่สีสด และเป็นลวดลายที่เกิดจากการปัก ไม่ใช่การทอ ลวดลายเป็นแบบเรขาคณิต ซึ่งมีแบบแผนหลักๆ แต่ความหลากหลายอยู่ที่ใครจะเล่นสีแบบไหน


หมอนอิฐของยายพอ ลายหน้าหมอนเป็นลายเรขาคณิตสลับสี


เช่นเดียวกับหมอนของยายพอ แกจะมีวิธีเลือกสีมาวางต่อกันเป็นลวดลายต่างๆ ไม่ให้ซ้ำแบบกัน ยายพอบอกว่า แกอยู่บ้านก็ทำไปเรื่อยๆ ใครอยากได้ก็มาขอซื้อ แล้วก็เลี้ยงหลานไปด้วย

หัตถกรรมอีกอย่างหนึ่งที่ชาวลาวโซ่งมีรูปแบบของตัวเองก็คือ จักสาน

ชายชาวลาวโซ่งจะรับหน้าที่เป็นผู้จักสาน ด้วยการนำไม้ไผ่มาสร้างเป็นเครื่องใช้ประเภทต่างๆ ไว้ใช้ในครัวเรือน หรือไม่ก็ทำไว้ให้คู่ของตัวเองใช้งาน ส่วนสาวๆ นั้นเขามีหน้าที่ทำงานผ้า ซึ่งเราชาวต่างถิ่นเมื่อเข้าไปพบเห็นก็เพียงแต่อาจจะสนใจในเชิงของความแปลกและศิลปะ แต่ลึกลงไป หัตถกรรมพวกนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ของใช้เท่านั้น

ยายพอมีกะเหล็บใบงามอยู่ใบหนึ่ง ซึ่งอาจารย์ติดใจตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน ยายพอก็นำมาให้ถ่ายรูปเช่นกัน กะเหล็บเป็นตะกร้าชนิดหนึ่ง มีปากกลม ช่วงไหล่สานให้ผายออกกลมกว้าง ส่วนก้นสอบแคบลงเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า


กะเหล็บของหมั้นของยายพอ


นี่สามีของยายทำให้ เป็นของหมั้นอาจารย์เล่าเสียเอง ก่อนจะหันไปคุยกับยาย ถ้ามีคนจะขอซื้อ ขายมั้ย?”

ฮึยายปฏิเสธสั้นๆ ไว้ดูเมื่อคิดถึงตาเฒ่า

เพราะ ตาเฒ่าหรือสามีของยายพอ เสียชีวิตไปกว่าสิบปีแล้ว ยายเล่าว่า แต่งงานกับสามีเมื่ออายุ 23 ปี นับว่าเป็นการแต่งงานที่ช้า (แต่ดูเป็นเรื่องปกติของหมู่บ้านนี้ หลังจากที่ผู้เขียนได้คุยกับผู้เฒ่าผู้แก่คนอื่นแล้ว)

บ่เห็นถูกใจใครสักคน ตาเป็นพ่อม่าย เขาเป็นทหาร เป็นคนรวยมีไร่นาเยอะ มาชอบยาย เพราะพูดดี พูดแล้วสบายใจ

ตากับยายมีลูกด้วยกัน 2 คน ลูกสาวคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว กับลูกชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีหลานสาวหน้าจิ้มลิ้มคนนี้มาให้ยายดูแล หลานก็ติดยายชนิดไม่ยอมห่าง

เราขอถ่ายรูปยายพอบ้าง เพราะยายยังคงลักษณะของหญิงชาวลาวโซ่งไว้ได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะมวยผมที่มุ่นไว้กลางศีรษะ เสียบปิ่นรูปร่างเป็นส้อมขาคู่ไว้อันหนึ่ง ยายพอก็โพสต์ท่าให้ถ่ายอย่างเต็มใจ สักพักยายก็ถาม

เอาชุดโซ่งไหม



ยายพอ ในชุดโซ่งแท้ นุ่งซิ่นลายแตงโม คาดผ้าเปียว และสะพายกะเหล็บ


แน่นอนเราไม่ปฏิเสธ ยายก็ลุกไปแต่งตัว กลับมาในชุดหญิงโซ่งแท้ นุ่งซิ่นลายแตงโม คาดผ้าเปียว

ผู้เขียนทราบมาก่อนแล้วว่า การนุ่งซิ่นของหญิงโซ่งจะไม่เหมือนกับที่อื่น ก็เลยลองสังเกตดู ก็ใช่จริงๆ ที่อื่นจะนุ่งซิ่นป้ายไปข้างใดข้างหนึ่ง แต่ที่นี่ เขานุ่งซิ่นรวบมาไว้ด้านหน้า และชักชายด้านหน้าให้สูงกว่าด้านอื่นๆ เขาว่าเป็นเพราะต้องการให้เดินเหินสะดวกเวลาทำงาน

ส่วนท่อนบนยายพอคาดผ้าเปียว ชักชายผ้าโชว์ลายปักดอกไม้ที่สวยงาม จากนั้นก็หยิบกะเหล็บของหมั้นจากตามาสะพาย ออกมาให้ยืนให้เราถ่ายรูป

เอาท่ารำไหมยายถามอีก


ยายพอออกท่ารำให้ถ่ายภาพ แถมยิ้มอย่างน่ารัก ขึ้นกล้องเหมาะเป็นพรีเซ็นเตอร์ของททท.


เอาค่ะผู้เขียนและชาวคณะรีบพยักหน้าตอบรับอย่างดีใจ และพากันหัวเราะสนุกสนาน เพราะยายออกท่ารำอย่างทะมัดทะแมงไม่มีขัดเขิน

นอกจากปิ่นเงินที่ประดับมวยผมอยู่แล้ว ผู้เขียนก็ได้เห็นว่า ที่ข้อมือทั้งสองข้างก็จะมีกำไลที่วงเรียบๆ อีกด้วย ซึ่งเป็นเครื่องประดับที่เห็นผู้หญิงสูงอายุในหมู่บ้านนี้ใส่กันทุกคน

ยาย นี่อะไรผู้เขียนถาม พร้อมกับชี้ไปที่หลังมือของยายพอ

รอยสัก

สักทำอะไรยาย

กันผี

อ้อ ผู้เขียนจึงเข้าใจ ปกติเห็นแต่ผู้ชายเท่านั้นที่สัก บางกลุ่มก็จะสักกันเป็นลายพร้อยเต็มไปหมด ส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องอยู่ยงคงกระพัน สำหรับผู้ชายที่ต้องเป็นนักรบ มีความเข้มแข็ง ป้องกันแว่นแคว้นได้


(มีต่อ)

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559

แวะไปชมงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2559 ณ สวนลุมพินี

        ข่าวว่ามีเทศกาลเที่ยวเมืองไทย จัดอย่างยิ่งใหญ่ ที่สวนลุมพินี ทำเอาผู้เขียนกระวนกระวายจะหาทางไปชมให้ได้ ยุ่งก็ยุ่ง แถมงานก็จัดอยู่เพียงไม่กี่วันเสียด้วย ในที่สุดก็หาเวลาไปเที่ยวงานนี้จนได้ แล้วเลยเก็บบางส่วนของงานมาเล่าสู่กันฟัง

        เพราะงานนี้เรียกได้ว่า คนจัดอีเวนต์มีความสามารถจริงๆ ทั้งในภาพใหญ่และในรายละเอียด สามารถดึงเอาจุดเด่นของแต่ละภาคออกมานำเสนอได้อย่างน่าสนใจ แม้จะเป็นการเน้นด้านการท่องเที่ยว แต่ก็เป็นการท่องเที่ยวในเชิงวัฒนธรรม

        งานนี้ ช่างพื้นบ้านมากันเพียบ

        ภาพแรกสุดที่สร้างความรู้สึกอลังการให้กับผู้มาเที่ยวงานก็คือ บูธของกิน ที่เรียงรายกันเป็นสิบๆ ร้าน มีทุกอย่าง แม้ว่า จะเป็นอาหารแบบงานแฟร์ทั่วไป แต่ด้วยความมากร้าน หลากรูปแบบ จึงละลานตาไปหมด


ของกินละลานตา

        ขอสารภาพ...ลานตาจนไม่รู้จะซื้ออะไรดี จะซื้อตั้งแต่ด่านแรก ก็กลัวว่าจะไปเจอของดีกว่าในงาน จะซื้อชมพู่รึ ก็กลัวว่า เดินไป เบียดคนไปชมพู่ก็จะช้ำ ...จึงอดไปด้วยประการฉะนี้



มาสคอตหน้างาน 


        ดูจากแผนที่...งานประกอบด้วยหลายส่วน ทั้งส่วนอำนวยการ นิทรรศการ การแสดงบนเวที และส่วนที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ก็มี อีสานแซ่บนัว เป็นหมู่บ้านภาคอีสาน ปักษ์ใต้...ปักหมุดหยุดเวลา เป็นหมู่บ้านจากภาคใต้ เหนือฝันล้านแรงบันดาลใจ คือหมู่บ้านภาคเหนือ สีสันตะวันออก เป็นหมู่บ้านภาคตะวันออก 12 เมืองต้องห้าม...พลาด Plus  คือชุมชนคนอาร์ตจ.ราชบุรีและเพชรบุรี สุขกลางใจ ใกล้แค่เอื้อม คือหมู่บ้านภาคกลาง 15 ตลาดบก 16 ตลาดน้ำ โรงภาพยนตร์ “เขาเล่าว่า...” และ ของดี 50 เขต กทม.

        แค่บรรยายนี้ก็เหนื่อยแล้วนะคะ งานจริงเหนื่อยกว่า ขาลาก เบียดคน หลงทาง

        หมู่บ้านแรกที่เดินเข้าไปเจอคือ อีสาบแซ่บนัว ก็มีซุ้มจากชุมชนต่างๆ ที่เป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยว และมีสินค้าหัตถกรรม หรืองานประเพณี


พวงมาลัยข้าวตอก


        ผู้เขียนสะดุดตากับเครื่องแขวนสีขาวขนาดใหญ่ ที่แขวนเรียงรายอยู่ด้านหน้าทางเข้า ซึ่งเคยเห็นมาบ้างแล้วจากงานททท. งานอื่น ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะสนใจในงานหัตถกรรมประเภทนี้ จึงเข้าไปหาจังหวะถ่ายรูป ซึ่งก็ต้องแย่งกับผู้คนมากมายที่รอคิวถ่ายรูปกันอยู่ แม้ว่าจะมีป้ายห้ามจับ แต่หลายคนก็เข้าไปจับเอาสายขาวๆ ที่ห้อยลงมานั้นแนบหน้าบ้าง โพสต์ท่าต่างๆ นานา

        เรารึก็นึกกลัวว่า ไปจับมากๆ เข้า เดี๋ยวจะร่วงติดมือกันมาหรือเปล่า เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเครื่องแขวนพวงใหญ่ๆ พวงนี้ ทำจากข้าวตอกนั่นเอง

        ใช่แล้ว ข้าวตอก ที่ทำจากข้าวเปลือกนำไปคั่วจนแตกเป็นดอกสีขาวเล็กๆ นำมาร้อยเข้าด้วยกันด้วยเส้นด้าย

        ใกล้ๆ กันนั่น ก็มีซุ้มสาธิตเครื่องแขวนชนิดนี้แหละ แม้ว่าคนจะรุมกันค่อนข้างเยอะ แต่เราก็หาทางเข้าดูแล้ว พูดคุยซักถามจนได้


กำลังสาธิตการร้อยข้าวตอกให้เป็นพวงมาลัย


        ที่เราเห็นพวงใหญ่ๆ เหล่านี้ เรียกกันว่า พวงมาลัยข้าวตอก ของอำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร พี่เขาเล่าว่า เป็นงานบุญประเพณีของหมู่บ้านอยู่แล้ว ต่อมาททท.มาพบเข้า จึงนำมาประชาสัมพันธ์ เดิมก็ทำกันพวงเล็กๆ ง่ายๆ ต่อมาๆ ก็เริ่มมีการประดิษฐ์ประดอย ประกวดประขันกันมากขึ้น ในที่สุดก็จัดให้มีการประกวดให้รางวัลกัน พวงมาลัยข้าวตอกจึงมีขนาดใหญ่และซับซ้อนขึ้น

        พวงมาลัยข้าวตอกนี้ แบ่งเป็น 2 แบบ เรียกว่า สายฝนแบบหนึ่ง และมัดข้ออีกแบบหนึ่ง สายฝนคือแบบเป็นเส้นๆ ยาวลงมา มัดข้อ คือแบบที่มีการรัดตกแต่งเป็นข้อ เป็นลายต่างๆ


พวงมาลัยข้าวตอก แบบสายฝน

พวงมาลัยข้าวตอก แบบมัดข้อ


        ข้าวตอกนั้นเป็นสีขาว และไม่มีการย้อมหรือเพิ่มสี ส่วนดอกอุบะและสีสันอื่นๆ มาจากการนำกระดาษสีมาทำเป็นดอกอุบะและตกแต่งส่วนอื่นเพิ่มเติม แต่สีโดยรวมก็ยังคงเป็นสีขาวของข้าวตอก

        ชาวบ้านเขาถือว่า ข้าวเป็นของสูง จึงนำมาทำเป็นเครื่องบูชาพระพุทธเจ้าในงานบุญหมู่บ้าน ทุกปีจัดงานแห่ 2 ครั้ง คือวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 3 ก่อนวันมาฆบูชา 1 วัน แห่ไปวัดหอก่อง และช่วงเดือนยี่ เป็นงานบุญกุ้มข้าวใหญ่ และงานบุญคูณลาน แห่ไปวัดฟ้าหยาด

        งานแห่พวงมาลัยข้าวตอก จึงเป็นงานบุญที่คนทั้งหมู่บ้านมาร่วมมือร่วมใจกัน จัดแต่งพวงมาลัยข้าวตอก และขบวนแห่ให้สนุกสนานครึกครื้น และได้ร่วมกันทำบุญบูชาพระพุทธ




        ในส่วนหมู่บ้านอีสานนี้ มีหัตถกรรมประเพณีที่น่าสนใจมากมาย เช่น การย้อมคราม หมอครามก็ยกหม้อครามมาให้ดูถึงที่

        ผู้เขียนเคยไปคุยกับคนย้อมคราม ที่เขาจะเรียกว่า “หมอคราม” เพราะการย้อมครามเป็นงานยากต้องอาศัยความชำนาญมาก นับตั้งแต่ปลูกต้นคราม เก็บใบมาต้ม หมักกับน้ำด่าง หลายขั้นตอน กว่าจะทำให้ครามนั้น “ขึ้น” หรือ “เป็น” ขึ้นมาได้ หลายครั้งที่หมักแล้ว น้ำครามที่ได้นำมาย้อมผ้าแล้วไม่ติด เรียกว่า ไม่เป็น หรือไม่ขึ้น

        พวกหมอคราม เขาจึงเคล็ดในการหมัก การย้อม และมีความเชื่อด้านไสยศาสตร์เข้ามาผสมด้วย พวกหมอครามเก่งๆ สังเกตดูเถิด มือจะดำคล้ำ ไม่มีมือสวยๆ หรอก เพราะต้องใช้มือในการจับ ย้อม น้ำครามจนสีติดมือนั่นเอง

        อ้อ จะบอกอีกอย่างหนึ่งว่า กลิ่นหม้อครามนี้ สุดๆ เลยนะคะ ^__^


หม้อคราม


        หันไปทางซ้าย ก็เจอหม้อบ้านเชียง แถมมีงานจักสานแปลกตาด้วย ได้ยินว่า เป็นไผ่พื้นบ้านที่มีความเหนียวทนทาน จึงนำมาจักสานเป็นภาชนะใช้งาน ที่ทนทานยิ่ง


หม้อบ้านเชียง และจักสานพื้นบ้าน


        ถัดไปอีกหน่อย ก็มีปราสาทรวงข้าว ปราสาทที่ทำมาจากรวงข้าวล้วนๆ โฆษกโฆษณาเสียด้วยว่า นี่เป็นขนาดจำลองนะครับ ของจริงใหญ่กว่านี้มาก ประมาณว่า นี่แค่น้ำจิ้ม อย่ากเห็นของแท้ ต้องตามไปดูที่กาฬสินธุ์



ปราสาทรวงข้าว


        ผู้เขียนแวะดูซุ้มโน้นนิดนี่หน่อย พอให้ทั่วๆ ซุ้มไหนก็มีคนเยอะไปหมด อีกทั้งกลัวว่า ยังไม่ได้ดูอีกเยอะจึงต้องยอมผ่านๆ ไป

        เดินเลยมาก็แปลกตากับเก๋งจีนจำลอง กับหมู่อาคารจำลองที่ชวนให้นึกถึงอาคารในชนบททางภาคใต้ เดินเข้าไปใกล้ๆ ก็ใช่จริงๆ

        เสียงตะลุ้งตุ้งแช่ ประสานกับเสียงโฆษก หน้าเก๋งจีนสีแดง ติดป้าย ศาลเจ้าเล่งจูเกียง ที่แท้ เป็นศาลจำลองของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวนี่เอง ผู้เขียนสงสัยมากๆ ว่าแล้วข้างในเขาจะทำอย่างไร

        เดินเข้าไปจึงเห็นการจำลองแท่นบูชากับรูปเจ้าแม่ พอเพ่งดีๆ ก็ยังได้เห็นว่า เขานำเทวรูปเจ้าแม่ล้มกอเหนี่ยวองค์สีทองเล็กๆ มาวางไว้ด้วย เรียกว่า แม้จะเป็นสถานที่จำลอง แต่ก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาประดิษฐานให้กราบไหว้ได้จริง


ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวจำลอง


        ผู้เขียนมองการแสดงกายกรรมต่อตัว หน้าศาลเจ้าจำลองอยู่พักหนึ่ง แล้วตัดสินใจเดินไปดูอย่างอื่น เพราะไม่ค่อยชอบกับการเห็นเด็กเล็กๆ ไปอยู่บนที่สูงมากแบบนั้น (เสียวแทน)

        ซุ้มอื่นๆ แสดงหัตถกรรมของทางภาคใต้ และเป็นอย่างที่ผู้เขียนนึกอยู่ในใจว่า งานหัตถกรรมทางใต้มีความโดดเด่นและความหลากหลายน้อยกว่าทางภาคอีสานมาก แล้วอย่างนี้ หมู่บ้านภาคใต้มิกร่อยหรือ




        ทางผู้จัดแก้ปัญหาได้อย่างดี ด้วยการเลือกสรร และชูสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์และกลิ่นอายของภาคใต้ได้โดดเด่นไม่เหมือนใคร คือ สถาปัตยกรรมแบบกึ่งยุโรปผสมพื้นถิ่น นอกจากศาลเจ้าจำลองแล้ว ยังมีเรือนปั้นหยาจำลอง ที่จัดเป็นเวทีแสดงการละเล่นพื้นบ้าน พระธาตุไชยา และพระธาตุนครศรีธรรมราช


เวทีการแสดงในหมู่บ้านภาคใต้ จำลองเป็นอาคารเรือนปั้นหยา



พระธาตุไขยาจำลอง


        นักแสดงก็แต่งตัวกันสวยงาม พิถีพิถันเป็นมืออาชีพ แอบเก็บภาพ นางรำหลังเวทีไว้ด้วย แบบฝันเอาว่า จะได้ภาพสวยๆ เหมือนจิตรกรรมของอ.จักรพันธุ์ โปษยกฤต (ฝันเอา ของจริงยังห่างไกลนัก อิ อิ)


แต่งตัวคอยคิวแสดงหลังเวที

        แวะดูนกคุ้มหน้าตาบ๊องแบ๊วของซุ้มไม้เทพธาโร แล้วเดินเลยผ่านไปดูซุ้มเรียบๆ ซุ้มหนึ่ง คนเฝ้าซุ้มแต่งชุดแบบมาลายู มีผ้าโพกหัว และผ้านุ่ง


นกคุ้มจากไม้เทพธาโร


        บนแคร่ในซุ้ม วางกริช อยู่ 3 เล่ม ตอนแรกผู้เขียนก็มองผ่านๆ แต่พอเห็นเป็นกริชก็เลยมองหาคนที่จะคุยด้วย เพราะอยากรู้จักเรื่องราวของคนทำกริชมานานแล้ว



ซุ้มกริชรามันห์ มีกริชโชว์แค่ 3 เล่ม เพราะเป็นงานที่ทำยาก แต่ละเล่มล้วนมีเจ้าของหมดแล้ว


        ชายหนุ่มแต่งชุดมาลายู หน้าตาคมสัน พูดไทยกลางชัดเจน เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า นี่เรียกว่ากริชรามันห์ การตีกริชเป็นวิชาที่สืบทอดกันในตระกูล กริชแต่ละเล่มก็จะบอกศักดิ์ฐานะของคนที่เป็นเจ้าของ เช่น จำนวนคดกริชบอกฐานะ 3 คด 5 คด จนไปจนถึง 9 คด เป็นของเจ้าเมือง

        ส่วนปลอก และด้าม ก็เป็นศิลปะการตกแต่งอีกแบบหนึ่งที่จะเป็นสิ่งบ่งบอกคุณค่าของกริชเล่มนั้น

        ผู้เขียนสงสัยว่า เดิมกริชเป็นอาวุธประจำตัวนักรบ (ตามที่เขาเล่า) แต่ปัจจุบัน กริชได้หมดหน้าที่เหล่านี้แล้ว คนตีกริชยังทำงานอยู่ได้อย่างไร ใครเป็นลูกค้า

        “คนเล่นศาสตราวุธ” คือคำตอบ

        ผู้เขียนไม่ได้ถามเรื่องใครคือคนเล่นศาสตราวุธ เพราะรู้จักอยู่แล้ว ผู้เขียนมีเพื่อนในเฟสบุคซึ่งเป็นกลุ่มนิยมวิชาการต่อสู้ และเคยเห็นเขาพูดคุยกันในเรื่องการสะสมศาสตราวุธ พวกเขาก็หลงใหลในความงามของศาสตราวุธ  เหมือนกับที่นักสะสมอื่นๆ เขาเป็นกัน

        หนุ่มคนนี้เล่าว่า ครอบครัวเขาเป็นครอบครัวช่างตีกริช โดยมีหัวหน้าครอบครัว “ตีพะลี อะตะบู” เป็นผู้ถ่ายทอดวิชา ลุงตีพะลี ก็แต่งกายแบบพื้นบ้านมาลายู หนวดเคราเริ่มเป็นสีดอกเลา แต่หน้าตาแจ่มใส พูดภาษากลางชัดเจนแม้ติดสำเหนียงใต้อยู่บ้าง


ตีพะลี อะตะบู


        อาชีพนี้ ต้องเป็นผู้ชายเท่านั้นนะคะ เพราะเป็นเรื่องของอาวุธ และพิธีกรรม เวลาตีกริชจะต้องบริกรรมคาถา และกำหนดลมหายใจ ต้องมีสมาธิตลอดการทำงาน จะหลุดไม่ได้ ไม่อย่างนั้น กริชจะเสียหาย

        ขอกระซิบว่า ครอบตรัวช่างตีกริชนี้ หน้าตาคมสัน ทุกคน อิ อิ

        ออกจากหมู่บ้านภาคใต้ ผู้เขียนเตร่ไปทางหมู่บ้านภาคกลาง ได้ยินเสียงโฆษกโฆษณาอย่างมีสีสันว่ามีนักร้องสาวสวยจะมาร้องเพลงให้ฟัง จากนั้นก็มีเสียงเพลงของนักร้องสาว (ซึ่งเรารู้ว่าเป็นการเปิดเทป) ด้วยความสงสัย จึงเดินลัดเลาะผ่านฝูงชน เข้าไปยังด้านข้าง อาคารจำลองเรือนไทยภาคกลาง


เรือนไทยภาคกลาง กำลังแสดงละครลิง

        แหม...เห็นบนเรือนแขวนเครื่องแขวนก็อยากจะขึ้นไปชมไปถ่ายภาพ แต่ทำไม่ได้ เพราะด้านหน้านั้นเป็นลานเวทีการแสดง ซึ่งนักร้องสาวสวยของโฆษกกำลังแสดงอยู่ แล้วผู้เขียนก็ได้เห็น นักร้องสาวสวย ที่ว่านั้น กระโดดขึ้นไปบนแคร่ โดยมีโฆษกกำกับอยู่ ที่แท้...ละครลิงนั่นเอง



มีดอรัญญิก

        หัตถกรรมภาคกลางก็มากันครบ ทั้งมีดอรัญญิก จักสาน ปลาตะเพียนสาน หัวโขน....รวมทั้งยาสมุนไพรพื้นบ้านของหมอหวาน

        เตร่เข้าไปชม เพราะเห็นเม็ดทองๆ อยู่ในจาน ตอนแรกนึกว่าเป็นการสาธิตทำเครื่องทอง (นึกในใจว่า ภาคกลางมีช่างทำทองที่ไหนหว่า) พอเข้าใกล้ ถึงได้เห็นว่า เป็นการสาธิตขั้นตอนสุดท้ายในการทำยาของหมอหวาน เป็นยาแบบปิดทองคำเปลว ซึ่งเป็นกลุ่มยาหอมบำรุงหัวใจ มีส่วนผสมของสมุนไพรหายาก ราคาแพง และปิดทองคำเปลว


สาธิตการปิดทองคำเปลวบนเม็ดยาหอม ของหมอหวาน

        บางคนอาจสงสัย ทองคำเปลวกินได้หรือ จริงๆ แล้ว ทองคำเปลวก็อยู่ในตำรับยาแผนโบราณ กินได้ (แต่ต้องน้อยๆ นะคะ)

        อยากจะซื้อยาหอมปิดทองมาลองบ้าง แต่สนนราคาคงแพงพอดู จึงยั้งๆ ไว้ก่อน หันไปหาลูกอมชื่นจิตต์ของหมอหวาน ที่เป็นยาหอมชนิดหนึ่งแทน เขาทำในรูปแบบเม็ดอม บรรจุตลับสวยคลาสสิค


โรงภาพยนตร์ "เขาเล่าว่า..."


ภาคกลาง งานพื้นบ้านไม่เด่น แต่คนจัดอีเว้นท์ ก็เลือกวิถีชีวิตร่วมสมัยมาจัดแสดงได้


        หลังจากเดินขาลากท่องเที่ยวจนเกือบทั่วไทยแล้ว แวะชมโน้นนิดนี่หน่อย ไปเที่ยวน้ำลายหกกับของกินนานาชนิดแล้ว ผู้เขียนก็ยังหาหมู่บ้านภาคเหนือไม่เจอ จึงจำใจจากจรด้วยความเพลียกาย เพื่อไปเบียดเสียดผู้คนที่ป้ายรถเมล์ กลับมาหลับเป็นตาย


ไก่ย่างบางตาล น่ากินมากๆ 


        กว่าจะฟื้นมา เขียนงานโพสต์ภาพ งานก็เลิกเสียแล้ว


        ใครอยากจะเที่ยวชม ช้อป ชิม ชิลล์ คงต้องตามไปถึงแหล่งถึงที่เขาแล้วล่ะค่ะ ^___^