นอกจากพระปฐมเจดีย์แล้ว
ดูเหมือน “นครปฐม” จะเป็นจังหวัดเล็กๆ
ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักว่ามีของดีอะไรบ้าง และด้วยความที่ใกล้กรุงเทพฯ มาก
ก็ถูกคนกรุงเทพฯ มองข้ามไปเหมือนกัน เช่นเดียวกับผู้เขียน
ที่มีเพิ่มเติมขึ้นมาอีกหน่อยก็คือ จำได้ว่า จังหวัดนี้มีของกินอร่อย…
ความที่ไม่รู้จัก
เมื่อถูกอาจารย์เปรื่อง เปลี่ยนสายสืบท่านชวน บอกว่า
ไปสำรวจหมู่บ้านแถวนครปฐมกันเถอะ ผู้เขียนก็นึกไม่ออกว่าจะได้พบอะไรบ้าง
แต่ความที่เชื่อในความรู้ของท่าน ก็เลยตามไปด้วย
แม้ผ่านมาหลายปีแล้ว
ผู้เขียนยังจำได้ว่า ทิวทัศน์ 2
ข้างทางระหว่างที่เดินทางนั่น แม้ไม่สวยเด็ดแบบเมืองเหนือ
แต่ก็ยังคงมีภาพของชีวิตชาวชนบทที่เรียบง่าย
ไม่ว่าจะเป็นสะพานไม้ไผ่ท่อนเดียวข้ามลำคลองเล็กๆ
ชาวบ้านจับปลามาทำปลาร้าข้างทาง แถมยังบอกกับเราอีกว่า ทำปลาร้าส่งนอก
(ใครจะนึก!)
รถข้ามสะพานแม่น้ำท่าจีน
เลี้ยวซ้ายไปเรื่อยๆ แล้วข้ามสะพานอีกหลายแห่ง (ให้ไปอีกที อาจจะหลง)
“ดอนขมิ้น”
ป้ายบอกทางข้างเชิงสะพานแห่งหนึ่ง อาจารย์ชี้บอกให้เลี้ยวเข้าไป
“เราเคยมาสัก 10 ปีได้แล้ว บังเอิญนั่งรถผ่านมา
เห็นชาวบ้านแต่งชุดโซ่ง ก็เลยตามเข้ามา” อาจารย์บอก
ทำให้ผู้เขียนนึกในใจว่า แล้วสิ่งที่ทำให้อาจารย์ประทับใจเมื่อ 10 ปีที่แล้วนี่ จะหลงเหลืออยู่หรือเปล่าหนอ
คำตอบอยู่ข้างหน้า
…
ใต้ถุนเรือนหลังหนึ่ง
อาจารย์เข้าไปทักยายแก่ๆ นุ่งโจง คาดอกด้วยผ้าขาวม้า ผมสีดอกเลามุ่นเป็นมวยกลางศีรษะเสียบด้วยปิ่นเงินแบบลาวโซ่ง
นั่งตะบันหมากอยู่ มีเด็กหญิงตัวเล็ก หน้าตาจิ้มลิ้มคลอเคลียไม่ห่าง
ยายพยักหน้ารับ
พูดคุยท้าวความกันเล็กน้อย ยายก็จำอาจารย์ได้ ว่าเคยมาขอถ่ายรูปเมื่อหลายปีก่อน
ยายพอดูเป็นคนพูดจาน้อยคำ แต่ก็ใจดี เพราะรู้ว่าเราจะมาขอถ่ายรูป
ก็ขึ้นไปขนหมอนที่ทำเรียงไว้เป็นตับในตู้มาให้เรา
บ้านดอนขมิ้นนี้
เป็นหมู่บ้านชาวลาวโซ่ง อยู่ในอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม
ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีกลุ่มชาติพันธุ์หลายพวกอาศัยอยู่ ดังเช่นชาวลาวโซ่ง
หรือลาวทรงดำ แต่ความที่กลุ่มลาวโซ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี มีการประชาสัมพันธ์
และรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนมากกว่า
ทำให้คนรู้จักแต่ว่ามีลาวโซ่งอาศัยอยู่ในจังหวัดสุพรรณบุรี ความจริงแล้ว
ชาวลาวโซ่งกระจายตัวอยู่ในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทยหลายจังหวัด นอกจากสุพรรณบุรี
นครปฐมแล้ว ที่ราชบุรีก็ยังมี
ลาวโซ่งก็มีเอกลักษณ์ในด้านการทอผ้าและงานฝีมือเป็นของแบบฉบับของตัวเอง
เสื้อผ้าโดยรวมเป็นพื้นโทนสีดำหรือครามแก่ แล้วตกแต่งลวดลายเล็กๆ เป็นสีสด
ทำให้เป็นที่มาของการได้ชื่อว่า “ลาวทรงดำ” แล้วกลายมาเป็น “ลาวโซ่ง” ในที่สุด
ผ้าทอโซ่งที่รู้จักกันแพร่หลายก็คือ
ซิ่นลายแตงโม เป็นซิ่นพื้นดำหรือครามแก่ มีเส้นสีฟ้าหรือสีอ่อนเป็นลายทางตั้ง
ที่เชิงติดตีนซิ่นที่ทอต่างหากกว้างประมาณ 2-3 นิ้ว
แล้วนำมาเย็บต่อกัน มักสวมกับเสื้อพื้นสีดำหรือครามแก่ ตัดเป็นเสื้อรัดรูปพอดีตัว
เอวสั้น แขนกระบอกรัดข้อมือ คอเสื้อเป็นแบบคอจีน
ผ่าด้านหน้าและติดกระดุมเงินเม็ดกลมๆ ท่อนบนก็ใช้ผ้าเปียวคาดอก
นี่เป็นชุดแต่งกายดั้งเดิมของหญิงโซ่ง
![]() |
ผู้หญิงโซ่งในชุดพื้นเมือง ภาพจาก http://www.bloggang.com/mainblog.php? id=chaiwat4u&month=22-02-2009&group=5&gblog=24 |
และสำหรับหญิงที่แต่งงานแล้ว
ก็ยังมีผ้าคาดอก ที่เรียกว่า ผ้าเปียว ผ้าเปียวเป็นผ้าแถบยาวพื้นดำ
ริมผ้าปักด้ายเป็นลวดลาย และปักลายดอกไม้ที่ชายทั้งสองด้าน
ลายปักนี้มีความละเอียดประณีต ผู้ปักต้องปักให้ลายทั้ง 2 ด้านเหมือนกัน ดูด้านไหนก็ได้ ใช้ด้านไหนก็สวย เป็นศิลปะที่ละเอียดน้อยคนนักจะทำได้
ยังมีเสื้อที่เรียกกันว่า
“เสื้อฮี” เป็นเสื้อพิเศษที่ใช้ในพิธีกรรมต่างๆ
มีทั้งแบบสำหรับผู้หญิงและผู้ชาย ใช้ผ้าพื้นสีดำ แล้วปักลวดลายด้วยไหมสีเขียวแดง
และตกแต่งด้วยผ้าที่เย็บเป็นลวดลาย แบบที่ฝรั่งเรียกว่า งานแพ็ตช์เวิร์ค หรืองานด้นมือ
![]() |
เสื้อฮีของผู้หญิง ด้านใน ภาพจาก http://www.openbase.in.th/node/5580 |
ที่เด่นอีกชิ้นหนึ่งก็คือหมอน
ซึ่งจะทำเป็นหมอนสี่เหลี่ยม หรือที่เรียกว่า หมอนอิฐ
แล้วตกแต่งลายหน้าหมอนด้วยผ้าที่เย็บเป็นลวดลายเช่นกัน
งานผ้าของลาวโซ่งจึงมีความเด่นที่การใช้พื้นดำ
ตัดกับลวดลายที่สีสด และเป็นลวดลายที่เกิดจากการปัก ไม่ใช่การทอ
ลวดลายเป็นแบบเรขาคณิต ซึ่งมีแบบแผนหลักๆ แต่ความหลากหลายอยู่ที่ใครจะเล่นสีแบบไหน
เช่นเดียวกับหมอนของยายพอ
แกจะมีวิธีเลือกสีมาวางต่อกันเป็นลวดลายต่างๆ ไม่ให้ซ้ำแบบกัน ยายพอบอกว่า
แกอยู่บ้านก็ทำไปเรื่อยๆ ใครอยากได้ก็มาขอซื้อ แล้วก็เลี้ยงหลานไปด้วย
หัตถกรรมอีกอย่างหนึ่งที่ชาวลาวโซ่งมีรูปแบบของตัวเองก็คือ
จักสาน
ชายชาวลาวโซ่งจะรับหน้าที่เป็นผู้จักสาน
ด้วยการนำไม้ไผ่มาสร้างเป็นเครื่องใช้ประเภทต่างๆ ไว้ใช้ในครัวเรือน หรือไม่ก็ทำไว้ให้คู่ของตัวเองใช้งาน
ส่วนสาวๆ นั้นเขามีหน้าที่ทำงานผ้า
ซึ่งเราชาวต่างถิ่นเมื่อเข้าไปพบเห็นก็เพียงแต่อาจจะสนใจในเชิงของความแปลกและศิลปะ
แต่ลึกลงไป หัตถกรรมพวกนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ของใช้เท่านั้น
ยายพอมีกะเหล็บใบงามอยู่ใบหนึ่ง
ซึ่งอาจารย์ติดใจตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน ยายพอก็นำมาให้ถ่ายรูปเช่นกัน
กะเหล็บเป็นตะกร้าชนิดหนึ่ง มีปากกลม ช่วงไหล่สานให้ผายออกกลมกว้าง
ส่วนก้นสอบแคบลงเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
“นี่สามีของยายทำให้
เป็นของหมั้น” อาจารย์เล่าเสียเอง ก่อนจะหันไปคุยกับยาย “ถ้ามีคนจะขอซื้อ ขายมั้ย?”
“ฮึ” ยายปฏิเสธสั้นๆ “ไว้ดูเมื่อคิดถึงตาเฒ่า”
เพราะ “ตาเฒ่า” หรือสามีของยายพอ เสียชีวิตไปกว่าสิบปีแล้ว
ยายเล่าว่า แต่งงานกับสามีเมื่ออายุ 23 ปี
นับว่าเป็นการแต่งงานที่ช้า (แต่ดูเป็นเรื่องปกติของหมู่บ้านนี้ หลังจากที่ผู้เขียนได้คุยกับผู้เฒ่าผู้แก่คนอื่นแล้ว)
“บ่เห็นถูกใจใครสักคน
ตาเป็นพ่อม่าย เขาเป็นทหาร เป็นคนรวยมีไร่นาเยอะ มาชอบยาย เพราะพูดดี
พูดแล้วสบายใจ”
ตากับยายมีลูกด้วยกัน
2 คน ลูกสาวคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว กับลูกชายอีกคนหนึ่ง
ซึ่งมีหลานสาวหน้าจิ้มลิ้มคนนี้มาให้ยายดูแล หลานก็ติดยายชนิดไม่ยอมห่าง
เราขอถ่ายรูปยายพอบ้าง
เพราะยายยังคงลักษณะของหญิงชาวลาวโซ่งไว้ได้อย่างชัดเจน
โดยเฉพาะมวยผมที่มุ่นไว้กลางศีรษะ เสียบปิ่นรูปร่างเป็นส้อมขาคู่ไว้อันหนึ่ง
ยายพอก็โพสต์ท่าให้ถ่ายอย่างเต็มใจ สักพักยายก็ถาม
แน่นอนเราไม่ปฏิเสธ
ยายก็ลุกไปแต่งตัว กลับมาในชุดหญิงโซ่งแท้ นุ่งซิ่นลายแตงโม คาดผ้าเปียว
ผู้เขียนทราบมาก่อนแล้วว่า
การนุ่งซิ่นของหญิงโซ่งจะไม่เหมือนกับที่อื่น ก็เลยลองสังเกตดู ก็ใช่จริงๆ
ที่อื่นจะนุ่งซิ่นป้ายไปข้างใดข้างหนึ่ง แต่ที่นี่ เขานุ่งซิ่นรวบมาไว้ด้านหน้า
และชักชายด้านหน้าให้สูงกว่าด้านอื่นๆ เขาว่าเป็นเพราะต้องการให้เดินเหินสะดวกเวลาทำงาน
ส่วนท่อนบนยายพอคาดผ้าเปียว
ชักชายผ้าโชว์ลายปักดอกไม้ที่สวยงาม จากนั้นก็หยิบกะเหล็บของหมั้นจากตามาสะพาย
ออกมาให้ยืนให้เราถ่ายรูป
“เอาท่ารำไหม”
ยายถามอีก
“เอาค่ะ”
ผู้เขียนและชาวคณะรีบพยักหน้าตอบรับอย่างดีใจ
และพากันหัวเราะสนุกสนาน เพราะยายออกท่ารำอย่างทะมัดทะแมงไม่มีขัดเขิน
นอกจากปิ่นเงินที่ประดับมวยผมอยู่แล้ว
ผู้เขียนก็ได้เห็นว่า ที่ข้อมือทั้งสองข้างก็จะมีกำไลที่วงเรียบๆ อีกด้วย
ซึ่งเป็นเครื่องประดับที่เห็นผู้หญิงสูงอายุในหมู่บ้านนี้ใส่กันทุกคน
“ยาย นี่อะไร”
ผู้เขียนถาม พร้อมกับชี้ไปที่หลังมือของยายพอ
“รอยสัก”
“สักทำอะไรยาย”
“กันผี”
อ้อ
ผู้เขียนจึงเข้าใจ ปกติเห็นแต่ผู้ชายเท่านั้นที่สัก
บางกลุ่มก็จะสักกันเป็นลายพร้อยเต็มไปหมด ส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องอยู่ยงคงกระพัน
สำหรับผู้ชายที่ต้องเป็นนักรบ มีความเข้มแข็ง ป้องกันแว่นแคว้นได้
(มีต่อ)