วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ลออง นิลพฤกษ์ ช่างมุกเมืองเก่า

        หนึ่งในงานช่างไทยที่ขึ้นชื่อลือเลื่องก็คืองานประดับมุก สีมุกแวววาวที่ตัดกับพื้นรักดำ เล่นลวดลายพลิ้วไหวจนบางครั้งก็แทบไม่น่าเชื่อว่าเกิดจากการตัดเปลือกหอยมาวาง ความวิจิตรบรรจงของงานช่างแขนงนี้ประทับใจยิ่งนัก

        การจะตามหาช่างมุกสักคนหนึ่งจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ว่าได้ ก่อนที่สโลแกน “หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์” จะบูม ผู้เขียนได้เคยออกไปตามหาช่างมุกที่อยุธยาครั้งหนึ่ง

ครั้งแรกที่ไป ทราบเพียงกว้างๆ ว่ามีช่างมุกอยู่ในอำเภอบางปะหัน แบบที่เรียกว่า “หาไม่ยาก” แต่ความจริงเมื่อไปถึงแล้ว ก็หาได้ไม่ง่ายอย่างที่คิด บางแห่งกลายเป็นร้านขนาดใหญ่ มีช่างเป็นแผนกๆ เวลาคุยก็ไม่ค่อยสนใจให้ข้อมูลสักเท่าไหร่ เหมือนกับว่ากลัวเสียเวลาทำมาหากิน นั่นกลายเป็นความไม่ประทับใจอย่างมาก และทำให้ท้อถอยว่า ช่างที่อยู่ใกล้ความเจริญเดี๋ยวนี้ขาดน้ำใจ ไม่น่ารักเสียแล้ว คงจะกลับบ้านมือเปล่า

        แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ลองตระเวณถามหาช่างอีกสักคนสองคน ก็ไม่เสียหลาย และก็ไม่เสีย กลับได้จริงๆ ด้วย

        ที่ตำบลขวัญเมือง อำเภอบางปะหัน ตรงทางเข้าวัดตะเคียน ณ บ้านไม้แบบชนบททั่วๆ ไปหลังหนึ่ง ฉันได้พบกับช่างมุกที่ชาวบ้านแนะนำว่า นี่แหละ ช่างฝีมือดี – ลุงลออง นิลพฤกษ์


        ชายไทยร่างสันทัด ออกท้วม ผิวคล้ำ ตัดผมเกรียน สวมแว่นตา หน้าตาธรรมดาๆ ออกมาต้อนรับ และพอทราบว่าฉันอยากจะดูงานช่างมุก แกก็ยินดีให้พูดคุย

        ตอนแรกที่เดินเข้ามาในบริเวณบ้าน ฉันไม่ทันสังเกตเห็นกองเปลือกหอย เพราะมีสีหม่นๆ กลมกลืนไปกับพื้น ต่อเมื่องลุงลอองชี้ให้ดูจึงได้เห็นวัตถุดิบสำคัญ

        “มุกมันมีหลายอย่าง” ลุงชี้ให้ดูกองเปลือกหอย แล้วเดินไปหยิบเปลือกหอยหลายชิ้นมาให้ดู

        “แบบนี้เป็นหอยทะเล เรียกหอยอูฐ เป็นชนิดที่สวยที่สุด เวลาทำเสร็จแล้ว สีมุกจะเหลือบรุ้งสวยมาก บางทีก็เรียกว่ามุกไฟ”

        “อันนี่ล่ะคะ” ฉันหยิบชิ้นส่วนชิ้นหนึ่งขึ้นมาถาม

        “อ้อ อันนี้เรียกว่าขื่อหอย มันเป็นแกนตรงกลางเป็นเศษที่เหลือแล้ว หอยอูฐคล้ายๆ หอยสังข์ เป็นหอยกาบเดียว ผิวขรุขระ” ลุงอธิบายแล้วชี้ให้ดูผิวของเปลือกหอยสีขาวขรุขระ ซึ่งหน้าตาไม่บอกเลยว่าจะเป็นสีมุกสีรุ้งเหลือบได้

        “เราจะไปเจียรก่อน เอาผิวออกเสีย แล้วจะได้เนื้อเปลือกหอยที่เป็นมุก แล้วก็เอาไปเข้าเครื่องตัดให้เป็นแผ่นตามที่เราต้องการ พอตัดออกไปแล้วก็จะเหลือขื่นอย่างที่เห็นนี่แหละ”

        “หอยพวกนี้ไปซื้อที่ไหนคะ หรือว่ามีคนมาส่ง”

        “ผมไปซื้อที่ระนอง ไปเอง เราต้องรู้ทำเล หอยมุกพวกนี้เป็นหอยทะเลลึก ต้องต่ำกว่า 30 เมตรถึงจะมี เราจะใช้ เราก็ต้องรู้แหล่งว่าจะไปหาซื้อได้ที่ไหน เมื่อก่อนผมซื้อโลละ 3 บาท แต่เดี๋ยวนี้กิโละ 1,800

        โอ้โฮ! ผู้เขียนตาโต เฉพาะซื้อเปลือกหอยก็กิโลละเป็นพัน แล้วถ้าเกิดเปลือกหอยมุกหาได้ยากขึ้น (ซึ่งเป็นปกติเพราะสภาพแวดล้อมแย่ลง อะไรๆ ก็เอาแต่สูญพันธุ์) ราคาก็ต้องยิ่งขึ้นไป ขึ้นไป...

        “มุกไฟนี้ยิ่งเก่ายิ่งสวยนะ” ลุงลอองเล่าต่อ ดึงความสนใจของผู้เขียนกลับมา

        “มันจะเหลือบสีสวยกว่าใครเขา รวมทั้งทนกว่าหอยแบบอื่นๆ แต่หอยชนิดอื่นก็มีนะ พวกหอยน้ำจืด อย่างหอยกาบ หอยแมลงภู่ หอยจาน หอยนมสาว พวกนี้ใช้ได้หมด แต่จะว่าสวยหรือทนแล้ว สู้ไม่ได้”

        ลุงเอาเปลือกหอยมาเรียง ชี้ให้ดูอธิบายให้ฟัง สารพัดหอยที่ลุงเล่า แต่ละชนิดก็ใช้งานต่างกันออกไป ราคาในการซื้อขายก็แตกต่างกันไปด้วย แน่นอนมุกไฟก็ต้องสนนราคาสูงที่สุด (แต่ก็สวยคุ้มค่าที่สุดด้วย)

        “ผมอยู่กับหอยมายี่สิบปี” คราวนี้ลุงเริ่มสนุกแล้ว

        “ผมคิดว่าจะศึกษาดูว่า หอยอันดามันกับหอยอินโดนีเซียมันต่างกันยังไง ทั้งที่มันเป็นหอยอย่างเดียวกัน ผิดกันที่น้ำเท่านั้น ไม่รู้ทำไมหอยอันดามันถึงสวยกว่า”

        ผู้เขียนนึกในใจว่า ลุงลอองคงจะรักและสนใจเรื่องของหอยมาก แล้วเรื่องเปลือกหอยเป็นเรื่องที่ศึกษากันได้ยากและสลับซับซ้อนวิชาหนึ่ง สงสัยว่าลุงแกอาจจะเรียนวิทยาศาสตร์มาละมั้ง

        “ผมจบแค่ป.4” อ้าว เล่นเอางง

        “แต่ผมเป็นคนใฝ่รู้นะ อะไรที่ผมไม่รู้ ผมจะถาม ผมนี่เป็นคนอำเภออุทัย สมัยก่อนก็ไปเป็นลูกจ้างร้านนายเพ้งเสาชิงช้า เขาให้ทำอะไร เราก็ทำ งานช่างพวกนี้แล้วแต่ใครจะมีหัว แต่ไม่ค่อยได้วิชาหรอก เพราะใครำหน้าที่ไหนก็ทำหน้าที่นั่น ไม่ได้ทำทุกอย่างก็จะไม่รู้”

        เป็นลักษณะของงานช่างแบบอุตสาหกรรมในครัวเรือน ที่แบ่งหน้าที่คนงานออกไปตามความถนัด ทำให้น้อยคนนักที่จะสามารถรู้ขั้นตอนและมีความชำนาญได้ทั้งหมด แต่ถึงแม้กระนั้น ลุงลอองไม่ใช่คนอยู่เฉย ในระหว่างทำงานก็ดิ้นรนขวนขวายหาความรู้ใส่ตัว ซึ่งสมัยก่อน ตำรับตำราและการอบรมสอนวิชาช่างยังไม่แพร่หลายอย่างนี้ ก็ลองจินตนาการดูเอาแล้วกันว่า ลุงลอองจะต้องใช้แรงบันดาลใจขนาดไหน

        “ผมไม่มีความรู้ ก็ไปหาตำรามาฝึกเอง พวกเขียนลายไทย  ทำเครื่องมุกต้องเขียนเป็น ก็ซื้อตำราของพระเทวาภินิมมิต หลวงวิศาลศิลปกรรม ไสว โพธิ์อ่อนน้อม ผมเป็นคนจำแม่น ไปดูไปเห็นลายที่ไหน กลับมาก็เขียนได้”

        เอากะแกสิ ทั้งใฝ่รู้ ขยัน แล้วยังความจำดีอีกด้วย เป็นลูกจ้างเขาอยู่พักหนึ่ง พอมีความรู้ความชำนาญแล้ว ลุงลอองก็ออกมารับงานเอง แต่การเริ่มต้นอาชีพช่างเครื่องมุกมันไม่ใช่เพียงแค่มีฝีมือเท่านั้น ลุงลอองเล่าถึงจุดเริ่มต้นในวิชาชีพที่ทำมาจนปัจจุบันว่า

        “ผมออกมารับงานเองเมื่ออายุ 24 ปี เริ่มต้นด้วยเงิน 1,000 บาท ผมไม่รับงานร้านเพราะเขาเอาเปรียบ ก็ไปหางานวัดดีกว่า ผมรู้จักกับหลวงพ่อขม ท่านอยู่วัดชนะสงคราม ผมก็ไปอาศัยท่าน ตะลุ่มลูกแรกที่ทำได้ ท่านก็แนะนำให้ไปหาพระที่รู้จักกัน พระที่วัดพระศรีมหาธาตุ ก็ขายได้”



        “ทำงานพวกนี้นะ ต้องซื่อสัตย์” ลุงเน้น “พระท่านลองใจ ผมเอาของไปส่งให้ แล้วท่านก็ให้เงินมา ผมนับเงินแล้วเกิน ก็เอาไปคืน เราไม่เอาเปรียบคนอื่น ต่อ ๆ มาคนก็เชื่อถือ รู้จักกว้างออกไปเรื่อยๆ”

        นี่อย่างไรล่ะ เคล็ดลับของการยืนหยัดในวิชาชีพ นอกจากใฝ่รู้ จนมีความชำนาญแล้ว ยังต้องอาศัยความซื่อสัตย์ สร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้า แบบสมัยใหม่ที่เรียกว่า “สร้างเครดิต” ด้วย  ทั้งหมดที่ประกอบกันทำให้ลุงลอองเป็นช่างทำเครื่องมุกที่ลูกค้าเชื่อถือมายาวนาน

        “ผมทำงานมีความสุขนะ” ลุงพูดยิ้มๆ “ตื่นหกโมงเช้า เดินไปปากซอย กลับมาชงน้ำชา แล้วก็ทำงาน พักกินข้าวบ้าง แล้วก็ทำไปเรื่อยจนเย็น”

        ท่าทางสบายๆ บ่งบอกถึงชีวิตที่มีความสุขอย่างที่แกเล่า ผู้เขียนไม่ได้เห็นการทำงานของลุง เพราะวันนั้นทั้งวันอยู่คุยกันจนเย็นค่ำ เรียกว่าลุงแกไม่ต้องได้ทำงานละ ถ้าหากเป็นชีวิตในออฟฟิศละก็ ต้องถูกเจ้านายค้อนแล้วค้อนอีก หรือไม่เจ้าตัวก็อาจจะไม่ค่อยพอใจเพราะว่าเสียเวลาทำมาหากิน แต่ลุงลอองก็ยอมเสียเวลามาคุยด้วย ทั้งให้ความรู้ ตอบคำถามอย่างไม่เก็บงำ

        “เวลาจะทำงานรัก จะต้องเป็นคนสะอาด คืออาบน้ำประแป้งให้นวลเชียว แล้วจึงมาทำงาน เพราะแป้งจะช่วยให้ยางรักไม่กัดผิว”

        ลุงลอองเล่าถึงวินัยในการทำงานกับยางรัก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญอย่างหนึ่งในการทำงานประดับมุก

ขั้นตอนการทำงานมุกของลุงลอองนั้น เริ่มจากการเตรียมหุ่น เมื่อได้หุ่นแล้ว ก็มาออกแบบและวางลวดลาย นำมุกมาตัดให้เป็นชิ้นตามต้องการ ติดด้วยกาวบนหุ่นไม้ จากนั้นลงสีโป้ว ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วขัดให้ผิวเรียบ

        ใช่ค่ะ สีโป้ว อ่านไม่ผิด ฟังมาก็ไม่ผิด

นี่เป็นวัตถุดิบยุคใหม่ที่มาแทนที่รัก เดิมเขาใช้ยางรักสีดำกันทั่วไป โดยเฉพาะงานช่างฝีมือไทย รักเป็นต้นไม้ใหญ่ อยู่ในจีนและพม่า ให้น้ำยางสีดำ ที่นำมาใช้งานแต่โบราณ ปัจจุบันรักหายากและมีราคาแพง ช่างไทยได้ปรับเปลี่ยนวัตถุดิบมานานแล้ว อย่างงานมุก ลุงลอองก็บอกว่า แต่ก่อนเขาใช้น้ำมันชแล็กกับฝุ่นดำ แต่ปัจจุบันหันมาใช้สีโป้ว

        “ใช้สีโป้วก็เหมือนใช้รัก ผลไม่แตกต่างกัน ดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะทำงานได้เร็ว ราคาก็ถูกกว่าด้วย” ลุงให้ความเห็น และอธิบายขั้นตอนแบบโบราณให้ฟังด้วย

        “โบราณเขาใช้ลงสมุกรัก แล้วใช้หินมีดโกนขัด แล้วขัดด้วยใบตองแห้งอีกที”

        เพื่อให้เข้าใจได้ชัดเจนขึ้น ผู้เขียนกลับมาค้นหาตำรามาอ่าน ก็ได้รู้ถึงวิธีการทำเครื่องมุกแบบดั้งเดิม เท่าที่ค้นมาจากหนังสือของทางราชการ ขั้นตอนไม่ค่อยแตกต่างจากที่ลุงลอองเล่ามากนัก เพียงแต่ใช้วัตถุดิบที่ต่างออกไป

        เขาก็ว่ากันตามลำดับคือ อย่างแรกสุดก็ต้องมีภาชนะที่ต้องการจะประดับมุก ส่วนใหญ่ก็ทำจากไม้ เช่น พวกบานประตูหน้าต่าง หรือขึ้นรูปด้วยหวายอย่างตะลุ่ม จากนั้นนำมาออกแบบลวดลาย และจัดวางลายให้ลงตามพื้นที่ที่มี ต้องกะลายให้ลงพอดี ลอกลายที่ได้นี้ลงบนกระดาษแก้ว นำหอยมุกมาตัดเป็นชิ้นๆ แล้วขัดผิวด้วยหินจนได้เนื้อบางตามต้องการ นำชิ้นมุกนี้ไปติดลงบนไม้โมกมัน จากนั้นนำลวดลายบนกระดาษแก้วมาลอกลงผิวมุก เลื่อยตามลายที่วางไว้ แล้วเอาตะไบแต่งริมให้เรียบร้อย

        ต่อไปก็นำหุ่นที่เตรียมไว้มาลงรองพื้นด้วยรักครั้งหนึ่ง ทิ้งให้แห้งแล้วลงรักอย่างดีอีกครั้ง รอให้หมาดแล้วนำมุกที่ตัดไว้มาติดลงไป รอให้แห้ง จากนั้นนำรักสมุกมาถมอีกที ใช้ไม้เนียนกวาดให้เรียบเสมอกัน แล้วทิ้งไว้ให้แห้ง ก่อนนำมาขัดพร้อมกับแต่งถมส่วนที่บกพร่อง พอผ่านขั้นตอนนี้แล้ว สุดท้ายคือนำใบตองแห้งกับน้ำมันมะพร้าวมาขัดถูจนขึ้นมัน

        เรียกว่าลุงลอองนั้นเรียนรู้กรรมวิธีแบบโบราณดั้งเดิม แล้วก็ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย วัสดุสมัยใหม่อย่างเรซิ่น ลุงลอองก็ลองทำดูเหมือนกัน เป็นงานกรอบรูป ใช้เปลือกหอยแมลงภู่และเรซิ่น ซึ่งเป็นงานที่สามารถทำในปริมาณมากได้ และให้ลูกมือเป็นคนทำ

        “ที่นิยมกันก็คือตะลุ่ม” ลุงยกตะลุ่มมาให้ดู เชื่อว่าคนไทยต้องรู้จักตะลุ่ม เป็นภาชนะที่มีเชิงคล้ายพาน

        “หุ่นตะลุ่มนี่ต้องทำด้วยหวายเท่านั้นนะ เพราะว่าเบา ถ้าเป็นไม้อื่น วงการเขาไม่ยอมรับ หุ่นตะลุ่มเราไม่ต้องทำเอง มีคนทำอยู่ในอยุธยา

        “ตะลุ่มจะเป็นของที่พวกพระหรือคนมีสตางค์เขาซื้อเก็บกันไว้ เอาไว้อวดกันว่าของฉันมีอย่างนี้ ของท่านมีอย่างนั้น พอมีงานสำคัญก็เอาออกมาใช้ที ขนาดของตะลุ่มเขาเรียกเป็นนิ้ว คือวัดปากเอา ลูก 6-7 นิ้ว เอาใส่ธูปเทียนไหว้พระหรือขอขมา 10 นิ้ว ไว้ใส่โถข้าว 14 นิ้วไว้ใส่ของหวาน 18 นิ้ว ไว้ใส่ของคาว ตะลุ่มเขาจะมีกันเป็นชุด ส่วนใหญ่ก็จะ 3 ใบเถา มีแบบชุดคู่กับชุดคี่ แต่ละลูกต่างกัน 2 นิ้ว อย่าง ถ้าเป็นชุดคู่ ก็จะเป็น 10 นิ้ว 12 นิ้ว 14 นิ้ว ถ้าเป็นคี่ก็ 7 นิ้ว 9 นิ้ว 11 นิ้ว”

        นอกจากตะลุ่มที่นิยมกันแลว ก็ยังมีพวกกระเป๋าถือ กรอบรูป ไปจนถึงงานใหญ่อย่างงานประดับมุกประตูหน้าต่างในโบสถ์

        “ถ้ารับงานประตูโบสถ์ ก็ต้องใช้หอยราว 5-600 กิโล ที่เคยทำก็มีแท่นมุกที่สวนสามพราน งานใหญ่พวกนี้ทำคนเดียวไม่ทัน ต้องระดมเครือมาช่วย”

        “ออกแบบลายนี้มีลายยากๆไหมคะ”

        “ลายอะไรก็ไม่ยากหรอก ทำได้แล้ว มีประสบการณ์แล้วก็ทำได้ทั้งนั้น เราต้องรู้ว่าลายไหนต้องทำยังไง ถ้าทำหงส์ หงส์ต้องมองฟ้า ถ้าเป็นม้า ม้าต้องมองดิน

        “งานโบราณ พวกตะลุ่มเก่า ความคมคายไม่ดี เพราะเครื่องมือไม่ดี แต่ปัจจุบันผูกลายไม่เก่งเท่าโบราณ แต่เครื่องมือดีกว่า เทคนิคดีกว่า เราจะเจียรมุกให้เรียบ แล้วมาติดบนไม้ระกำ แล้วค่อยๆ เลื่อย แบบนี้หางก็ไม่หัก เวลาเจียรก็ต้องให้ความหนาบางพอดี หนามากไปก็เปลืองใบเลื่อย”



        “นี่ดูชิ้นนี้” ลุงยกกระบะมุกใบหนึ่งมาให้ดู “ชิ้นนี้ผมทำให้คนรู้จักกัน นานแล้วละ พอดีเขาส่งกลับมาซ่อม ตรงพื้นนี้ ผมทำเป็นรูปหมูกับงู เพราะว่าสามีภรรยาคู่นี้ เขาเกิดปีมะเส็งกับปีกุน”

        ผู้เขียนรับกระบะมุกมาดู สีเหลือบอย่างสวยงามเพราะว่าใช้มุกไฟ บนพื้นกระบะทำเป็นงูเห่าพันตัวหมู อยู่ในกรอบลายสี่เหลี่ยม ส่วนขอบกระบะแต่งลายพันธุ์พฤกษาแทรกรูปสัตว์เล็กๆ สภาพผ่านการใช้งานแล้ว ไม่ใช่เป็นของใหม่ แต่ความพอดีและลงตัวของการออกแบบ แสดงความมีชีวิตชีวาของฝีมือช่าง

บอกตามตรงว่า งานชิ้นนี้ถูกใจผู้เขียนมากกว่างานชิ้นไหนๆ และสัมผัสได้ถึงสายสัมพันธ์ของช่างผู้ทำงานกับเจ้าของกระบะ บอกได้เลยว่า เจ้าของก็ต้องรักงานชิ้นนี้มากด้วยเหมือนกัน



        นอกจากนี้ ที่ได้เห็นก็มีทำเป็นกระเป๋าถือ ส่วนงานพวกบานประตูหน้าต่างลุงลอองก็มี เวลารับงานทีหนึ่ง ก็ต้องไปซื้อหอยกันมาเป็นหลายร้อยกิโล คิดดูก็แล้วกันว่างานแบบนี้ช่างต้องมีทุนสำรองอยู่พอตัว แล้วอยู่ตัวคนเดียวก็ไม่ได้ เพราะบางครั้งต้องระดมเหล่าเพื่อนที่เป็นช่างมาช่วยกันหากรับงานใหญ่

        ลุงลอองมีชีวิตอยู่อย่างสมถะและเรียบง่าย อย่างที่แกเล่ามาแล้วว่า วันหนึ่งๆ ตื่นเช้ามาทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เริ่มลงมอทำงาน แต่แกก็มี “ของเล่น” อยู่เหมือนกันนะ แกบอกว่าสะสมพวกพระเครื่อง มีพระดีๆ อยู่เยอะ แต่ไม่มีใครรู้หรอก เพราะว่าแกมีที่เก็บชั้นเยี่ยม

        “อยู่ในปี๊บ” แกหัวเราะ

        “พระดีๆ ก็มี ไม่มีใครรู้หรอก ใครมาขอซื้อผมก็ไม่ขาย แต่ถ้ารู้จักมักคุ้นกันแล้ว เห็นว่าเป็นคนที่เหมาะสม ผมให้ฟรีเลย”

        แม้ผู้เขียนจะไม่ได้รับการแจกพระเครื่องฟรี เพราะแกคงเห็นว่าผู้เขียนไม่สนใจละมั้ง แต่ว่าได้ความรู้ฟรีๆ ได้ฟังชีวิตการทำงานของช่างมีฝีมือคนหนึ่งฟรีๆ เหนืออื่นใด ผู้เขียนได้รับ “น้ำใจ”

        แค่นี้ก็คุ้มแล้วล่ะ

**************

ปรับปรุงจากบทความในวารสารเมืองโบราณปีที่ 29 ฉบับที่ 4 ตุลาคม-ธันวาคม  2546

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คำปุน ศรีใส ทองเนื้อแท้แห่งเมืองอุบล (2)



ป้าคำปุน กำลังทอผ้าด้วยกี่ส่วนตัวที่แกะสลักด้วยศิลปะพื้นบ้านอย่างดงาม


คุณมีชัยพาเราไปยังเรือนหลังกลางที่ตั้งขวางอยู่ด้านหลัง เป็นเรือนทรงไทยประยุกต์ ที่จัดไว้เป็นห้องแสดงผ้า

“บ้านที่คำน้ำแซบนี่ผมมาทำเอง เริ่มตั้งแต่มาดูที่ ถมที่ ปลูกต้นไม้ ปีแรกที่ทำมีแต่รั้วกับต้นไม้เท่านั้นเองครับ” คุณมีชัยอธิบายขณะพาเรามานั่งตรงหน้าเรือนด้านหลังที่จัดเป็นห้องแสดงผ้า

“แบบบ้านคิดเอง เราเป็นคนทางนี้ ก็ชอบเส้นหลังคาแบบอีสานมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็เกิดคำถามว่า เอ๊ะ ทำไมไม่มีบ้านอีสานสวยๆ อย่างทางเหนือ เขาก็มีกาแล ก็เลยอยากทำขึ้นมา”

ถ้าดูผังของบ้านโดยรวมแล้วจะเป็นลักษณะสมดุล คือ ตรงกลางเป็นลานโล่ง และสระน้ำ มีอาคารโอบเป็นรูปเกือกม้า ด้านหน้าสุดเป็นเรือนหลังเล็กแบบเรียบๆ สำหรับเป็นโรงทอเรียงมาจนเป็นเรือนหลังใหญ่สองหลัง สำหรับเป็นที่พักอาศัย และจบที่เรือนขวางที่เรานั่งอยู่นี่

“ผมทำตามฟังก์ชั่นครับ โรงทอก็จะเรียบๆ ให้โล่ง เพราะเราต้องการใช้เนื้อที่ ส่วนเรือนที่พักก็จะมีอะไรเพิ่มมากขึ้น เพราะเราใช้อยู่อาศัย ห้องน้ำก็ต้องทำใหม่ เพราะเรือนไทยจะไม่มีห้องน้ำ ผมก็ใส่บานเลื่อนไปตามจุดต่างๆ เพราะผมชอบบานเลื่อนครับ (หัวเราะ)”



บรรยากาศภายในโรงทอผ้า


“ที่นี่ไม่ติดแอร์นะคะ” ผู้เขียนตั้งข้อสังเกต

“ครับ ถ้าติดแอร์ก็เสียดาย มาอยู่อย่างนี้แล้วไม่ได้รับอากาศธรรมชาติ พอผมทำบานเลื่อนก็จะเปิดได้กว้างรับอากาศได้มาก แต่ยุงกับแมลงเยอะก็เลยจำเป็นต้องใส่มุ้งลวด ทั้งๆ ที่ไม่ชอบเลย เพราะทำให้บ้านไม่สวย”

แหม! ขนาดบอกว่าไม่สวย สำหรับผู้เขียนแล้วสวยมากๆ และชอบมากๆ ตรงที่ไม่ติดเครื่องปรับอากาศ เพราะคิดเหมือนกันว่า อุตส่าห์ออกมาอยู่ท่ามกลางต้นไม้แล้ว ยังะต้องมาหายใจเอาอากาศที่ผ่านเครื่องซ้ำๆ ไปซ้ำๆ มาอีกหรือ

“ส่วนหลังนี้” คืออาคารแสดงผ้าที่เรานั่งกันอยู่ “ตกแต่งมากหน่อย ผมก็เอาแค่รูปทรงมา ระวังไม่ให้เครื่องหลังคาเยอะเกินไป”

ข้างในมีการตกแต่งที่ประยุกต์มาจากสไตล์ตะวันตก เช่น พื้นไม้ฝังหินอ่อนเล่นลาย บนเพดานเขียนลายดอกไม้ที่ผสมระหว่างไทยกับตะวันตก แต่โดยรวมๆ แล้วพยายามทำให้โล่ง ทาสีขาว เพื่อใช้จัดแสดงผ้า

ผ้าแต่ละผืนที่จัดแสดงอยู่ตามมุมต่างๆ ที่ได้เห็นในวันนั้น แต่ละชิ้นแต่ละผืนงามเด่นแตกต่างกันไป จัดเป็นผลงานชิ้นเด่นๆ ที่ป้าคำปุนรักหนักหนา ส่วนใหญ่เป็นผ้ามัดหมี่สอดดิ้น ซึ่งนอกจากตัวลวดลายมัดหมี่ที่ละเอียดงดงาม สีมัดย้อมที่วางจังหวะได้อย่างลงตัวแล้ว ยังประสานกับประกายของดิ้นทอง แต่ละผืนจึงงามเด่น ชมผืนไหนก็ชอบผืนนั้น สรุปคือสวยทุกชิ้น ไม่มีชิ้นไหนเป็นรองชิ้นไหน

เฮ้อ! ต้องถอนหายใจเพราะประทับใจไปเสียหมด แต่ไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของ เพราะเจ้าของเขารัก เขาไม่ขาย ครั้นจะสั่งทอกับเขาบ้าง สนนราคาก็ไม่เป็นใจกับเงินในกระเป๋าเลย เพราะที่เห็นจนลานตาอยู่นี้ บางชิ้นราคาเป็นแสน ก็เลยได้แต่ชื่นชมเป็นบุญตา

หลังชมผ้าชิ้นสุดยอดกันไปแล้ว อย่านึกว่าหมดแค่นี้ เรากลับมาหาป้าคำปุนที่ใต้ถุนเรือนพัก ยังมีผ้างามๆ ที่ไม่ได้เอาออกมาจัดแสดงอีกหลายชิ้น บางชิ้นเป็นงานสะสมของป้า บางชิ้นเป็นงานที่ลูกค้าสั่งทอไว้

ผ้าไหมสีชมพูสอดดิ้นทองที่ลูกค้าสั่งทอเพื่อใช้เป็นชุดเจ้าสาว

“ชิ้นนี้ลูกค้าเขาสั่งไว้ สำหรับงานแต่งงาน” ไหมพื้นขาวลายชมพูสอดดิ้นทองงามอ่อนหวานผืนนี้ต้องเป็นชุดเจ้าสาวที่สวยมากอย่างแน่นอน

“แบบนี้เรียกว่าผ้าปูม” ไหมแดงเข้มผืนใหญ่ที่คลี่ออกแล้วจะเห็นลวดลายตามแบบแผนคือ ตรงกลางเป็นลายท้องผ้า มัดเป็นลวดลายเล็ก ล้อมด้วยลายขอบที่เรียกว่าเชิงผ้า โดยทั่วไปผ้าปูมเป็นไหมมัดหมี่ ไม่มีการสอดดิ้น และจัดเป็นผ้าชั้นสูงใช้เฉพาะเหล่าขุนนางและข้าราชสำนัก แต่ปูมไหมที่สอดดิ้นทองก็ได้เห็นกันจากฝีมือของป้าคำปุนนี่แหละ ทำให้ยิ่งดูหรูขึ้นไปอีก แต่จะว่าชิ้นไหนสวยกว่าชิ้นไหน ก็ตอบไม่ถูก แหม! ป้าคำปุนเสียอย่างทอผืนไหน ผืนนั้นก็สวย

“ฉันทำผ้าไหม อยู่กับไหมมา ถ้าผืนไหนออกมาสวย ฉันต้องเก็บไว้ก่อน” 

นี่ขนาดเป็นช่างเองยังพูดแบบนี้ ก็เพราะงานฝีมือเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ แบบเดียวกับงานศิลปะ อยู่ที่จังหวะและอารมณ์ของช่างในการทำงานแต่ละครั้ง ไม่ใช่เครื่องจักรที่ปั๊มออกมาได้เหมือนกันหมดทุกชิ้น

“ซิ่นที่คนเชียงใหม่เขาสั่งทอไว้ ลายเลียนลายพม่า เขายังไม่มาเอา นานแล้ว ถ้ามาตอนนี้ ก็ไม่ให้แล้ว” ตอบด้วยรอยยิ้มที่นุ่มนวลแต่แฝงความเด็ดเดี่ยว คนสั่งมาเอาตอนนี้ก็หมดสิทธิ์เสียแล้ว

“ฉันชอบสีม่วงกับสีแดงครั่ง ชอบทุกลาย แต่ต้องอนุรักษ์ของอุบลฯ เอาไว้”


ผ้าปูม


ป้ายังอธิบายอีกว่า ผ้าพื้นเมืองของอุบลราชธานีมีหลายแบบหลายลาย อย่างซิ่นทิวเป็นซิ่นสำหรับคนมีอายุใส่ แต่เดิมไม่ต่อตีน ลายซิ่นเป็นลายทางขวางลำตัว ซึ่งเป็นตัวยืนยันว่าซิ่นลาวก็มีซิ่นลายทางขวาง ไม่เฉพาะว่าจะมีแต่ลายทางตั้ง ที่เรียกว่าซิ่นลายล่องเสมอไป ตัวอย่างก็เช่นซิ่นคั่นสำหรับผู้หญิงใส่ทั่วไป

เหมือนผืนที่ป้าคำปุนทอค้างอยู่ในกี่ ฉันเห็นซิ่นลายนี้มาหลายชิ้น แต่ก็ยังรู้สึกว่าชิ้นที่ค้างกี่อยู่นี้ดูงามกว่าชิ้นไหนที่ผ่านตามา

นอกจากจะอนุรักษ์มรดกเมืองอุบลด้วยการทอลายดั้งเดิมแล้ว รอบๆ ที่นั่งอยู่ ยังมีเครื่องทอผ้าแบบแปลกตา ไม่ว่าจะเป็นกี่ทอผ้าสีแดงที่เป็นไม้แกะสลัก หรือกวักไหม ที่ปั่นด้าย

“ผมพยายามเก็บรวบรวมมาครับ กลัวว่าปล่อยทิ้งไว้ก็จะสูญไปทุกวัน เดี๋ยวนี้ไปที่ไหนก็ไม่มีแล้วครับ” คุณมีชัยเล่าให้ฟัง

เครื่องมือเหล่านี้ล้วนทำจากไม้และส่วนใหญ่ทาสีแดง มีการสลักตกแต่งมากบ้างน้อยบ้างคละกันไป บางชิ้นดูจะมีร่องรอยการปิดทองอยู่ด้วย เป็นเครื่องยืนยันให้เห็นว่างานทอผ้าไม่ใช่เพียงแค่การพุ่งกระสวยให้ด้วยสอดขัดจนกลายมาเป็นผืนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงศิลปะอย่างอื่นด้วย

น่าคิดว่าช่างทอที่มีฝีมือ มี “ศิลปะ” และ “สุนทรียศาสตร์” อยู่ในตัวเอง จะไม่ตกแต่งเครื่องมือทำงานของตัวเองเชียวหรือ เท่าที่ฉันได้ยินได้ฟังมา อุปกรณ์ทอผ้านี้ ผู้ชายหรือพ่อบ้านจะเป็นคนทำให้กับภรรยา ฝ่ายชายที่มีฝีมือทางช่างอยู่แล้วจะไม่ไว้ฝีมือในการทำเครื่องมือให้เมียใช้บ้างหรือ

ฉันอำลาบ้านคำปุนมาพร้อมกับอาทิตย์ที่เริ่มอ่อนแสงเป็นสีอำพัน แม้ไม่มีผ้าไหมผืนงามติดมือกลับมาไว้ชื่นชม แต่ฉันก็ได้ความปลื้มใจ อิ่มเอม จากการที่ได้พบกับความงามแท้ทั้งจากผ้าไหมผืนงาม

และตัวคุณป้าคำปุน-ทองเนื้อแท้แห่งเมืองอุบล

************

ปรับปรุงจากบทความในวารสารเมืองโบราณ ปีที่ 29 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม-กันยายน 2546

คำปุน ศรีใส ทองเนื้อแท้แห่งเมืองอุบล (1)

        เป็นที่รู้กันว่า ถ้าชอบไหมต้องไปอีสาน สุดยอดของไหมงามแห่งหนึ่งที่เลื่องลือเป็นที่รู้จักของนักเลงผ้าก็ต้องที่ “ร้านคำปุน” ในตลาดเมืองอุบลราชธานี เพราะไหมทุกผืนของร้านนี้งามประณีตอย่างหาที่ติได้ยากเหมาะสมกับสนนราคาที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับผ้าไหมจากท้องถิ่นอื่น แต่หากพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว ก็จะไม่เสียดายเงินเลย

        เจ้าของร้าน- ช่างทอนามกระเดื่องจนเป็นบุคคลสำคัญของจังหวัดก็คือ คุณป้าคำปุน ศรีใส ชื่อ “คำปุน” นั้น แปลว่า ทองคำเนื้อดีบริสุทธิ์ ซึ่งเมื่อผู้เขียนได้พบตัวแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า คุณป้าคำปุนนี้ คือทองคำบริสุทธิ์ตัวจริง สมชื่อทีเดียว


คำน้ำแซบ จังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. 2538

ผู้เขียนได้มีโอกาสมาสัมผัสทองเนื้อแท้แห่งเมืองอุบลฯ ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ตามปกติใครอยากได้ผ้าไหมต้องไปที่ร้านคำปุนในตลาด แต่ผู้เขียนโชคดีได้มีโอกาสมาพบกับคุณป้าคำปุนและครอบครัว ทั้งยังได้ชมผ้าชิ้นเยี่ยม ๆ ที่เป็นของรักของหวง และได้พูดคุยถึงชีวิตการทำงานของคุณป้าคำปุนถึงที่บ้านทีเดียว

มองจากด้านนอก จะเห็นรั้วเฟื่องฟ้าดอกบานสีสด กับสีเขยวของต้นไม้ใหญ่น้อยภายใน บ้านคุณป้าคำปุนที่คำน้ำแซบมีอาณาบริเวณค่อนข้างกว้างและโล่งโปร่ง คุณป้าคำปุนรวมทั้งลูกชายคือคุณมีชัย ออกมาต้อนรับอย่างเป็นกันเอง

และที่นับว่าเป็นโชคดีอีกอย่าง ก็คือประจวบกับเป็นเวลาเที่ยง เจ้าของบ้านจึงได้เชิญให้รับประทานอาหารแสนอร่อย ที่แม้แต่ในกรุงเทพฯ เอง ก็หาทานไม่ได้ง่ายๆ

เราเริ่มจากเบคอน-แคนตาลูป ที่ในชีวิตนี้ก็ไม่คิดว่าของสองอย่างนี้จะเข้ากันได้ขนาดนี้ ตามด้วยสปาเกตตี้แอนโชวี่ ยิ่งห้องอาหารที่อยู่ด้านล่างของเรือนขวา เปิดโล่งมองเห็นสวนโดยรอบ และแต่งห้องแบบร่วมสมัย ได้บรรยากาศราวกับอยู่ในสวน แทบทำให้ลืมไปว่า กำลังอยู่ในเขตชนบทของเมืองไทย ทั้งนี้มาจากประสบการณ์ของคุณมีชัยที่เคยทำงานเป็นสจ๊วตและเดินทางมาแล้วรอบโลก


ชั้นล่างจัดเป็นห้องรับประทานอาหาร  ผนังใช้บานเลื่อนเพื่อให้รู้สึกโปร่ง

หลังอิ่มหนำกันดีแล้ว ป้าคำปุนก็พาเรามานั่งคุยกันที่ใต้ถุนเรือน แวดล้อมด้วยเครื่องมือทอผ้าที่เป็นของอีสานแท้ ฝีมือดั้งเดิมที่แกะสลักและตกแต่งอย่างสวยงาม

“แม่ฉันชื่อยายน้อย เป็นคนสอนให้ทอ” ป้าคำปุนเริ่มเล่าประวัติให้ผู้เขียนฟัง

“สมัยนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ฉันก็จบโรงเรียนสตรีที่ยโสธร ตอนนั้นยังเป็นอำเภอ ขึ้นอยู่กับจังหวัดอุบลฯ จะเรียนหนังสือต่อก็ไม่ได้ ก็คิดว่าต้องทำงานฝีมือที่แม่เคยทำ”

คุณยายน้อย- คุณแม่ของป้า จะเรียกว่าเป็นหญิงแกร่งก็คงจะได้ ฟังจากที่เล่า คุณยายน้อยชอบเดินทาง แม้จะพูดได้แต่ภาษาอีสานก็ยังมากรุงเทพฯ คนเดียว อย่างไม่กลัวอะไรเลย

ยายน้อยทอได้ทั้งผ้าไหมและผ้าฝ้าย แล้วนำไปส่งขายยังที่ต่างๆ ขณะนั้นแม้ว่าจะอายุมากแล้ว (83 ปี เมื่อปีพ.ศ. 2538) ก็ยังออกช่วยงานบุญเสมอ ไม่เคยขาด แถมยังไปรำนำขบวนบุญเขาเสียอีกด้วย

ฟังแล้ว อย่าได้นึกว่าป้าคำปุน จะมีบุคลิกเหมือนคุณยายน้อย เปล่าเลย เพราะป้าคำปุนที่อยู่ข้างหน้าผู้เขียนนี้ เป็นสตรีตัวบางร่างเล็ก ท่าทางเรียบร้อย พูดจานุ่มนวล เป็นบุคลิกที่ผิดจากยายน้อยเสียจริงๆ

“ฉันเป็นคนเรียบร้อย ทำงานค้นหูก มัดหมี่ ได้เร็วกว่าคนอื่น จนยายทวดเรียกล้อว่านางอ่อนซ้อย” ป้าเล่าด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“สมัยสาวๆ ฉันเคยนั่งปั่นไหมอยู่บนเรือน ผู้บ่าวเขาผ่านมา เขาก็ล้อว่า แว...แว...บ่แวนี้ แล้วสิไปแวไสฉันโกรธจนร้องไห้” รอยยิ้มบางๆ เมื่อเล่าถึงความหลัง

แหม! คนเขาขยันทำงาน ผู้บ่าวมาล้อแบบนี้ก็ต้องโกรธเป็นของธรรมดา ก็เหมือนนักเรียนยุคนี้ ถ้าขยันท่องหนังสือ เรียนเก่ง เพื่อนๆ ก็มักจะล้อ จะว่าอิจฉา หรือกลัวว่าเพื่อนจะเรียนเก่งกว่าก็ไม่รู้ ทำเอาแทบจะไม่อยากอ่านหนังสือต่อ

ผู้เขียนไม่เห็นมุมไหนจะมีเลี้ยงไหม ก็เลยถามป้าว่าเส้นไหมที่ทอนี่หาจากที่ไหน

“ซื้อเอา” ป้าว่า “ไม่ได้เลี้ยงเอง แต่ก่อนแถวยโสธรก็ซื้อแถวพนมไทย ชาวบ้านใกล้เคียงก็มีเยอะ เดี๋ยวนี้เขาเลี้ยงกันน้อยลง อยากให้เขาเลี้ยงไว้นะ ก็พยายามบอกเขา เพราะฉันเป็นกรรมการวัฒนธรรมหญิง ฉันก็รู้ว่าไหมมีความสำคัญ”

เรื่องไหมเลี้ยง- ไหมโรงงาน ป้าบอกว่าวิธีที่จะแยกว่าเป็นไหมชนิดไหน นอกจากดูลักษณะของเส้นไหมแล้ว ต้องดมกลิ่นด้วย เพราะไหมสองชนิดนี้กลิ่นจะต่างกัน เล่นเอาผู้เขียนอึ้ง เพราะนี่เป็นความรู้เฉพาะตัว ที่ต้องเป็นผู้ชำนาญจริงๆ เท่านั้นถึงจะแยกได้ และคงมีน้อยคนที่จะนึกออกว่ากลิ่นเป็นตัวบอกคุณสมบัติได้อีกวิธีหนึ่ง

“เรื่องย้อมสียังมีปัญหา” ป้าคำปุนเล่าต่อ

“สำคัญตรงที่ต้องใจเย็นๆ เวลาย้อมสี ฉันลงมือเอง ทั้งสีธรรมชาติ สีเคมี สีธรรมชาติคุณแม่สอน เปลือกไม้ยังหาไม่ยาก คนนิยมทั้งสองแบบ เราย้อมดีก็ไม่ตก ย้อมให้อิ่ม แช่ทิ้งไว้ ไปงานไหนๆ กลับมา มาดู ได้ที่หรือยัง ถ้ายังก็แช่ต่อ เวลาล้างก็ต้องล้างหลายน้ำจนน้ำใส เวลาใช้สีก็ไม่ตก”

สีตกเป็นปัญหาที่คู่กับผ้าพื้นเมืองและเป็นกับผ้าพื้นเมืองรุ่นปัจจุบัน เพราะสีผ้าโบราณก็ไม่ตกง่าย ฟังที่ป้าเล่าแล้ว ทำให้น่าคิดว่า การที่สีตกเป็นเพราะต้องการความเร็วในการผลิตหรือเปล่า หรือเป็นเพราะช่างทอไม่มีความเข้าใจในการย้อมสีเคมี แต่ผู้เขียนก็ได้เห็นพัฒนาการของผ้าพื้นเมืองมานาน เรื่องสีตกก็ดูจะค่อยๆ แก้ไขกันไปได้บ้างแล้ว

“ผ้าที่ทอก็มีทั้งแบบอนุรักษ์ผ้าโบราณ และแบบประยุกต์ และทอตามที่ลูกค้าสั่ง เมื่อก่อนมีกี่อยู่ 4 หลัง ต่อมาก็ขยายมาเป็น 11 หลัง เดี๋ยวนี้มี 24 หลัง งานหนัก แต่ดีที่มีลูกชายมาช่วย”

ลูกชายคนนี้ คือคุณมีชัย ซึ่งเป็นคนที่สองในบรรดาลูกๆ สี่คน

“ไม่ได้สอนอะไร แต่เขาสนใจ มาดู มาซักถาม ตอนหลังเขาเห็นว่าแม่เหนื่อยมาก เขาเองก็ชอบทางนี้ เคยไปมาหลายประเทศ ได้เห็นได้ศึกษามาเยอะ ก็มาช่วยงาน มาออกแบบลายผ้า อันไหนเขานิยมเขาก็ออกแบบ อันไหนเราชอบเราก็ออก”

ด้วยวิธีนี้ ทำให้ลายผ้าของไหมคำปุนมีหลากหลาย ทั้งแบบแนวอนุรักษ์และแบบร่วมสมัย จึงไม่แปลกเลยที่ลูกค้าของไหมคำปุนจะมีมากมาย

“บางครั้ง ฉันใส่ออกงาน คนเห็นสวย อยากได้ เราก็ต้องทอให้เขา”

ผู้เขียนแอบมองชุดที่ป้าใส่อยู่มาตั้งแต่ต้นแล้ว ถึงตอนนี้ ก็ไม่แปลกใจ แม้ดูไกลๆ ป้าคำปุนก็แต่งแบบเรียบๆ เสื้อเป็นไหมสีครีม ผ้านุ่งเป็นไหมมัดหมี่ แต่พอดูใกล้ๆ สีครีมเรียบๆ กลับมีเนื้อลายในตัวที่มีเฉดเข้ากันได้สนิทกับสีผ้านุ่ง มองดูตรงไหนก็ไม่รู้จะติอะไร ผู้เขียนเองก็ยังอยากได้ไว้เป็นสมบัติส่วนตัว

คำปุน ศรีใส

ขั้นตอนของการผลิตเริ่มจากหาวัตถุดิบคือเส้นไหม แล้วผ่านการออกแบบ มัดย้อมเรียบร้อย ก็ส่งถึงมือช่างทอ ในจำนวนกี่ 24 หลังที่ป้าบอก

“คนงานที่เขามัดหมี่เขาจะไม่อยากทอ คนทอก็ไม่อยากมัดหมี่ แต่ละคนถนัดไม่เหมือนกัน แต่ฉันว่ามัดหมี่ยากกว่าทอ”

“คนทอฉันให้เขากินอยู่ในนี้ แต่ก็ให้ออกไปเที่ยว ก็สอนเขาว่าถ้าเขาทำสวย เราก็ให้ราคาไม่จำกัด คนทอเขาได้เยอะ บางคนเก็บเงินซื้อนาได้ เราก็ดีใจด้วย ถ้าใครแต่งงานมีสามี ก็เช่าบ้านให้อยู่ใกล้ๆ เอากี่ไปให้เขาทอ ส่วนใหญ่เขาจะทอเป็นอย่างเดียว น้อยคนมากที่จะทำได้ทุกอย่าง”

มีคนเยอะปัญหาก็ตามมา เช่นเดียวกับที่ป้าคำปุนก็เคยเจอ

“เราก็จะมีคนเก่าคนแก่เป็นหัวหน้า คอยดูแลเป็นหูเป็นตาแทนเรา เคยมีอยู่คนหนึ่ง หัวหน้ารับเข้ามาแล้ว จะขอกลับบ้าน เราก็ให้กลับ หัวหน้าก็ตรวจกระเป๋าก่อน แล้วมาบอกเราว่า แม่ ! รังไหมเต็มกระเป๋าเลย”

ก็นับว่ายังดีที่ป้าคำปุนมีคนที่พอไว้ใจได้ช่วยงานอยู่ เรื่องนิสัยใจคอจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ทำงานด้วยกันได้ และยังเป็นสิ่งสำคัญอีกด้วยในการทอผ้า

“คนที่สาวไหมได้ดีก็จะทอผ้าได้ดี อยู่ที่จิตใจ ต้องใจเย็น ต้องมีสมาธิ เวลากระทบฟืมแต่ละครั้ง แรงต้องเท่ากัน ถ้าไม่เท่ากัน ผ้าก็จะโย้ไปโย้มา ทอผ้าจะวอกแวกไม่ได้”

“หนูรู้ไหม ผ้าอะไรทอยากที่สุด” ป้าคำปุนหันมาถามเราบ้าง

“ผ้ามัดหมี่?” ผู้เขียนเดา

“ผ้าขาว” ป้าตอบยิ้มๆ 

“เวลาทอผ้าขาว เราต้องอาบน้ำให้สะอาด ต้องใจเย็น นิ่งๆ มีสมาธิ เพราะผ้าขาวเลอะง่าย ถ้าทอไม่ระวัง ผ้าก็จะออกมาไม่สวย”

สูงสุดคืนสู่สามัญจริงๆ ด้วยสายตาเรา เรามักจะรู้สึกว่าผ้าขาวน่าจะง่ายที่สุด ก็ไม่ต้องมัด ไม่ต้องย้อม ทออย่างเดียว ไม่มีขั้นตอนอะไรซับซ้อน แต่กลับเป็นงานที่ยากที่สุดที่จะทำออกมาให้ดี 

มิน่า ชาวบ้านเขาถึงทอผ้าขาวกันไว้ใช้ในงานบุญ เรียกว่านอกจากได้บุญกุศลแล้ว ยังช่วยชำระให้ใสสะอาดสงบเย็นอีกด้วย


คุยกันมาได้พักใหญ่ คราวนี้ถึงคราวอวดผ้า คุณมีชัยเป็นคนอาสาพาเราชม เพราะจะได้ชมเรือนไปด้วยในตัว ส่วนป้าคำปุนก็ลุกไปนั่งประจำกี่ของตัวเอง (กี่พิเศษสีแดง แกะสลักสวยงาม ผิดกับที่เคยเห็นทั่วไป)
(มีต่อ...)