หนึ่งในงานช่างไทยที่ขึ้นชื่อลือเลื่องก็คืองานประดับมุก
สีมุกแวววาวที่ตัดกับพื้นรักดำ
เล่นลวดลายพลิ้วไหวจนบางครั้งก็แทบไม่น่าเชื่อว่าเกิดจากการตัดเปลือกหอยมาวาง
ความวิจิตรบรรจงของงานช่างแขนงนี้ประทับใจยิ่งนัก
การจะตามหาช่างมุกสักคนหนึ่งจะว่าง่ายก็ง่าย
จะว่ายากก็ว่าได้ ก่อนที่สโลแกน “หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์” จะบูม ผู้เขียนได้เคยออกไปตามหาช่างมุกที่อยุธยาครั้งหนึ่ง
ครั้งแรกที่ไป
ทราบเพียงกว้างๆ ว่ามีช่างมุกอยู่ในอำเภอบางปะหัน แบบที่เรียกว่า “หาไม่ยาก”
แต่ความจริงเมื่อไปถึงแล้ว ก็หาได้ไม่ง่ายอย่างที่คิด บางแห่งกลายเป็นร้านขนาดใหญ่
มีช่างเป็นแผนกๆ เวลาคุยก็ไม่ค่อยสนใจให้ข้อมูลสักเท่าไหร่
เหมือนกับว่ากลัวเสียเวลาทำมาหากิน นั่นกลายเป็นความไม่ประทับใจอย่างมาก
และทำให้ท้อถอยว่า ช่างที่อยู่ใกล้ความเจริญเดี๋ยวนี้ขาดน้ำใจ ไม่น่ารักเสียแล้ว
คงจะกลับบ้านมือเปล่า
แต่ไหนๆ
ก็ไหนๆ ลองตระเวณถามหาช่างอีกสักคนสองคน ก็ไม่เสียหลาย และก็ไม่เสีย กลับได้จริงๆ
ด้วย
ที่ตำบลขวัญเมือง
อำเภอบางปะหัน ตรงทางเข้าวัดตะเคียน ณ บ้านไม้แบบชนบททั่วๆ ไปหลังหนึ่ง
ฉันได้พบกับช่างมุกที่ชาวบ้านแนะนำว่า นี่แหละ ช่างฝีมือดี – ลุงลออง นิลพฤกษ์
ชายไทยร่างสันทัด
ออกท้วม ผิวคล้ำ ตัดผมเกรียน สวมแว่นตา หน้าตาธรรมดาๆ ออกมาต้อนรับ
และพอทราบว่าฉันอยากจะดูงานช่างมุก แกก็ยินดีให้พูดคุย
ตอนแรกที่เดินเข้ามาในบริเวณบ้าน
ฉันไม่ทันสังเกตเห็นกองเปลือกหอย เพราะมีสีหม่นๆ กลมกลืนไปกับพื้น
ต่อเมื่องลุงลอองชี้ให้ดูจึงได้เห็นวัตถุดิบสำคัญ
“มุกมันมีหลายอย่าง”
ลุงชี้ให้ดูกองเปลือกหอย แล้วเดินไปหยิบเปลือกหอยหลายชิ้นมาให้ดู
“แบบนี้เป็นหอยทะเล
เรียกหอยอูฐ เป็นชนิดที่สวยที่สุด เวลาทำเสร็จแล้ว สีมุกจะเหลือบรุ้งสวยมาก บางทีก็เรียกว่ามุกไฟ”
“อันนี่ล่ะคะ”
ฉันหยิบชิ้นส่วนชิ้นหนึ่งขึ้นมาถาม
“อ้อ
อันนี้เรียกว่าขื่อหอย มันเป็นแกนตรงกลางเป็นเศษที่เหลือแล้ว หอยอูฐคล้ายๆ
หอยสังข์ เป็นหอยกาบเดียว ผิวขรุขระ”
ลุงอธิบายแล้วชี้ให้ดูผิวของเปลือกหอยสีขาวขรุขระ ซึ่งหน้าตาไม่บอกเลยว่าจะเป็นสีมุกสีรุ้งเหลือบได้
“เราจะไปเจียรก่อน
เอาผิวออกเสีย แล้วจะได้เนื้อเปลือกหอยที่เป็นมุก
แล้วก็เอาไปเข้าเครื่องตัดให้เป็นแผ่นตามที่เราต้องการ
พอตัดออกไปแล้วก็จะเหลือขื่นอย่างที่เห็นนี่แหละ”
“หอยพวกนี้ไปซื้อที่ไหนคะ หรือว่ามีคนมาส่ง”
“ผมไปซื้อที่ระนอง
ไปเอง เราต้องรู้ทำเล หอยมุกพวกนี้เป็นหอยทะเลลึก ต้องต่ำกว่า 30 เมตรถึงจะมี เราจะใช้ เราก็ต้องรู้แหล่งว่าจะไปหาซื้อได้ที่ไหน
เมื่อก่อนผมซื้อโลละ 3 บาท แต่เดี๋ยวนี้กิโละ 1,800”
โอ้โฮ! ผู้เขียนตาโต เฉพาะซื้อเปลือกหอยก็กิโลละเป็นพัน
แล้วถ้าเกิดเปลือกหอยมุกหาได้ยากขึ้น (ซึ่งเป็นปกติเพราะสภาพแวดล้อมแย่ลง อะไรๆ
ก็เอาแต่สูญพันธุ์) ราคาก็ต้องยิ่งขึ้นไป ขึ้นไป...
“มุกไฟนี้ยิ่งเก่ายิ่งสวยนะ”
ลุงลอองเล่าต่อ ดึงความสนใจของผู้เขียนกลับมา
“มันจะเหลือบสีสวยกว่าใครเขา
รวมทั้งทนกว่าหอยแบบอื่นๆ แต่หอยชนิดอื่นก็มีนะ พวกหอยน้ำจืด อย่างหอยกาบ
หอยแมลงภู่ หอยจาน หอยนมสาว พวกนี้ใช้ได้หมด แต่จะว่าสวยหรือทนแล้ว สู้ไม่ได้”
ลุงเอาเปลือกหอยมาเรียง
ชี้ให้ดูอธิบายให้ฟัง สารพัดหอยที่ลุงเล่า แต่ละชนิดก็ใช้งานต่างกันออกไป
ราคาในการซื้อขายก็แตกต่างกันไปด้วย แน่นอนมุกไฟก็ต้องสนนราคาสูงที่สุด
(แต่ก็สวยคุ้มค่าที่สุดด้วย)
“ผมอยู่กับหอยมายี่สิบปี”
คราวนี้ลุงเริ่มสนุกแล้ว
“ผมคิดว่าจะศึกษาดูว่า
หอยอันดามันกับหอยอินโดนีเซียมันต่างกันยังไง ทั้งที่มันเป็นหอยอย่างเดียวกัน
ผิดกันที่น้ำเท่านั้น ไม่รู้ทำไมหอยอันดามันถึงสวยกว่า”
ผู้เขียนนึกในใจว่า
ลุงลอองคงจะรักและสนใจเรื่องของหอยมาก
แล้วเรื่องเปลือกหอยเป็นเรื่องที่ศึกษากันได้ยากและสลับซับซ้อนวิชาหนึ่ง
สงสัยว่าลุงแกอาจจะเรียนวิทยาศาสตร์มาละมั้ง
“ผมจบแค่ป.4” อ้าว เล่นเอางง
“แต่ผมเป็นคนใฝ่รู้นะ
อะไรที่ผมไม่รู้ ผมจะถาม ผมนี่เป็นคนอำเภออุทัย สมัยก่อนก็ไปเป็นลูกจ้างร้านนายเพ้งเสาชิงช้า
เขาให้ทำอะไร เราก็ทำ งานช่างพวกนี้แล้วแต่ใครจะมีหัว แต่ไม่ค่อยได้วิชาหรอก
เพราะใครำหน้าที่ไหนก็ทำหน้าที่นั่น ไม่ได้ทำทุกอย่างก็จะไม่รู้”
เป็นลักษณะของงานช่างแบบอุตสาหกรรมในครัวเรือน
ที่แบ่งหน้าที่คนงานออกไปตามความถนัด ทำให้น้อยคนนักที่จะสามารถรู้ขั้นตอนและมีความชำนาญได้ทั้งหมด
แต่ถึงแม้กระนั้น ลุงลอองไม่ใช่คนอยู่เฉย
ในระหว่างทำงานก็ดิ้นรนขวนขวายหาความรู้ใส่ตัว ซึ่งสมัยก่อน
ตำรับตำราและการอบรมสอนวิชาช่างยังไม่แพร่หลายอย่างนี้
ก็ลองจินตนาการดูเอาแล้วกันว่า ลุงลอองจะต้องใช้แรงบันดาลใจขนาดไหน
“ผมไม่มีความรู้
ก็ไปหาตำรามาฝึกเอง พวกเขียนลายไทย
ทำเครื่องมุกต้องเขียนเป็น ก็ซื้อตำราของพระเทวาภินิมมิต หลวงวิศาลศิลปกรรม
ไสว โพธิ์อ่อนน้อม ผมเป็นคนจำแม่น ไปดูไปเห็นลายที่ไหน กลับมาก็เขียนได้”
เอากะแกสิ
ทั้งใฝ่รู้ ขยัน แล้วยังความจำดีอีกด้วย เป็นลูกจ้างเขาอยู่พักหนึ่ง
พอมีความรู้ความชำนาญแล้ว ลุงลอองก็ออกมารับงานเอง
แต่การเริ่มต้นอาชีพช่างเครื่องมุกมันไม่ใช่เพียงแค่มีฝีมือเท่านั้น
ลุงลอองเล่าถึงจุดเริ่มต้นในวิชาชีพที่ทำมาจนปัจจุบันว่า
“ผมออกมารับงานเองเมื่ออายุ
24 ปี เริ่มต้นด้วยเงิน 1,000 บาท
ผมไม่รับงานร้านเพราะเขาเอาเปรียบ ก็ไปหางานวัดดีกว่า ผมรู้จักกับหลวงพ่อขม
ท่านอยู่วัดชนะสงคราม ผมก็ไปอาศัยท่าน ตะลุ่มลูกแรกที่ทำได้
ท่านก็แนะนำให้ไปหาพระที่รู้จักกัน พระที่วัดพระศรีมหาธาตุ ก็ขายได้”
“ทำงานพวกนี้นะ
ต้องซื่อสัตย์” ลุงเน้น “พระท่านลองใจ ผมเอาของไปส่งให้ แล้วท่านก็ให้เงินมา
ผมนับเงินแล้วเกิน ก็เอาไปคืน เราไม่เอาเปรียบคนอื่น ต่อ ๆ มาคนก็เชื่อถือ
รู้จักกว้างออกไปเรื่อยๆ”
นี่อย่างไรล่ะ
เคล็ดลับของการยืนหยัดในวิชาชีพ นอกจากใฝ่รู้ จนมีความชำนาญแล้ว
ยังต้องอาศัยความซื่อสัตย์ สร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้า
แบบสมัยใหม่ที่เรียกว่า “สร้างเครดิต” ด้วย
ทั้งหมดที่ประกอบกันทำให้ลุงลอองเป็นช่างทำเครื่องมุกที่ลูกค้าเชื่อถือมายาวนาน
“ผมทำงานมีความสุขนะ”
ลุงพูดยิ้มๆ “ตื่นหกโมงเช้า เดินไปปากซอย กลับมาชงน้ำชา แล้วก็ทำงาน
พักกินข้าวบ้าง แล้วก็ทำไปเรื่อยจนเย็น”
ท่าทางสบายๆ
บ่งบอกถึงชีวิตที่มีความสุขอย่างที่แกเล่า ผู้เขียนไม่ได้เห็นการทำงานของลุง
เพราะวันนั้นทั้งวันอยู่คุยกันจนเย็นค่ำ เรียกว่าลุงแกไม่ต้องได้ทำงานละ
ถ้าหากเป็นชีวิตในออฟฟิศละก็ ต้องถูกเจ้านายค้อนแล้วค้อนอีก หรือไม่เจ้าตัวก็อาจจะไม่ค่อยพอใจเพราะว่าเสียเวลาทำมาหากิน
แต่ลุงลอองก็ยอมเสียเวลามาคุยด้วย ทั้งให้ความรู้ ตอบคำถามอย่างไม่เก็บงำ
“เวลาจะทำงานรัก
จะต้องเป็นคนสะอาด คืออาบน้ำประแป้งให้นวลเชียว แล้วจึงมาทำงาน
เพราะแป้งจะช่วยให้ยางรักไม่กัดผิว”
ลุงลอองเล่าถึงวินัยในการทำงานกับยางรัก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญอย่างหนึ่งในการทำงานประดับมุก
ขั้นตอนการทำงานมุกของลุงลอองนั้น
เริ่มจากการเตรียมหุ่น เมื่อได้หุ่นแล้ว ก็มาออกแบบและวางลวดลาย
นำมุกมาตัดให้เป็นชิ้นตามต้องการ ติดด้วยกาวบนหุ่นไม้ จากนั้นลงสีโป้ว
ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วขัดให้ผิวเรียบ
ใช่ค่ะ
สีโป้ว อ่านไม่ผิด ฟังมาก็ไม่ผิด
นี่เป็นวัตถุดิบยุคใหม่ที่มาแทนที่รัก
เดิมเขาใช้ยางรักสีดำกันทั่วไป โดยเฉพาะงานช่างฝีมือไทย รักเป็นต้นไม้ใหญ่
อยู่ในจีนและพม่า ให้น้ำยางสีดำ ที่นำมาใช้งานแต่โบราณ
ปัจจุบันรักหายากและมีราคาแพง ช่างไทยได้ปรับเปลี่ยนวัตถุดิบมานานแล้ว อย่างงานมุก
ลุงลอองก็บอกว่า แต่ก่อนเขาใช้น้ำมันชแล็กกับฝุ่นดำ แต่ปัจจุบันหันมาใช้สีโป้ว
“ใช้สีโป้วก็เหมือนใช้รัก
ผลไม่แตกต่างกัน ดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะทำงานได้เร็ว ราคาก็ถูกกว่าด้วย”
ลุงให้ความเห็น และอธิบายขั้นตอนแบบโบราณให้ฟังด้วย
“โบราณเขาใช้ลงสมุกรัก
แล้วใช้หินมีดโกนขัด แล้วขัดด้วยใบตองแห้งอีกที”
เพื่อให้เข้าใจได้ชัดเจนขึ้น
ผู้เขียนกลับมาค้นหาตำรามาอ่าน ก็ได้รู้ถึงวิธีการทำเครื่องมุกแบบดั้งเดิม
เท่าที่ค้นมาจากหนังสือของทางราชการ ขั้นตอนไม่ค่อยแตกต่างจากที่ลุงลอองเล่ามากนัก
เพียงแต่ใช้วัตถุดิบที่ต่างออกไป
เขาก็ว่ากันตามลำดับคือ
อย่างแรกสุดก็ต้องมีภาชนะที่ต้องการจะประดับมุก ส่วนใหญ่ก็ทำจากไม้ เช่น
พวกบานประตูหน้าต่าง หรือขึ้นรูปด้วยหวายอย่างตะลุ่ม จากนั้นนำมาออกแบบลวดลาย
และจัดวางลายให้ลงตามพื้นที่ที่มี ต้องกะลายให้ลงพอดี ลอกลายที่ได้นี้ลงบนกระดาษแก้ว
นำหอยมุกมาตัดเป็นชิ้นๆ แล้วขัดผิวด้วยหินจนได้เนื้อบางตามต้องการ
นำชิ้นมุกนี้ไปติดลงบนไม้โมกมัน จากนั้นนำลวดลายบนกระดาษแก้วมาลอกลงผิวมุก
เลื่อยตามลายที่วางไว้ แล้วเอาตะไบแต่งริมให้เรียบร้อย
ต่อไปก็นำหุ่นที่เตรียมไว้มาลงรองพื้นด้วยรักครั้งหนึ่ง
ทิ้งให้แห้งแล้วลงรักอย่างดีอีกครั้ง รอให้หมาดแล้วนำมุกที่ตัดไว้มาติดลงไป
รอให้แห้ง จากนั้นนำรักสมุกมาถมอีกที ใช้ไม้เนียนกวาดให้เรียบเสมอกัน
แล้วทิ้งไว้ให้แห้ง ก่อนนำมาขัดพร้อมกับแต่งถมส่วนที่บกพร่อง พอผ่านขั้นตอนนี้แล้ว
สุดท้ายคือนำใบตองแห้งกับน้ำมันมะพร้าวมาขัดถูจนขึ้นมัน
เรียกว่าลุงลอองนั้นเรียนรู้กรรมวิธีแบบโบราณดั้งเดิม
แล้วก็ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย วัสดุสมัยใหม่อย่างเรซิ่น
ลุงลอองก็ลองทำดูเหมือนกัน เป็นงานกรอบรูป ใช้เปลือกหอยแมลงภู่และเรซิ่น
ซึ่งเป็นงานที่สามารถทำในปริมาณมากได้ และให้ลูกมือเป็นคนทำ
“ที่นิยมกันก็คือตะลุ่ม”
ลุงยกตะลุ่มมาให้ดู เชื่อว่าคนไทยต้องรู้จักตะลุ่ม เป็นภาชนะที่มีเชิงคล้ายพาน
“หุ่นตะลุ่มนี่ต้องทำด้วยหวายเท่านั้นนะ
เพราะว่าเบา ถ้าเป็นไม้อื่น วงการเขาไม่ยอมรับ หุ่นตะลุ่มเราไม่ต้องทำเอง
มีคนทำอยู่ในอยุธยา
“ตะลุ่มจะเป็นของที่พวกพระหรือคนมีสตางค์เขาซื้อเก็บกันไว้
เอาไว้อวดกันว่าของฉันมีอย่างนี้ ของท่านมีอย่างนั้น พอมีงานสำคัญก็เอาออกมาใช้ที
ขนาดของตะลุ่มเขาเรียกเป็นนิ้ว คือวัดปากเอา ลูก 6-7 นิ้ว
เอาใส่ธูปเทียนไหว้พระหรือขอขมา 10 นิ้ว ไว้ใส่โถข้าว 14 นิ้วไว้ใส่ของหวาน 18 นิ้ว ไว้ใส่ของคาว
ตะลุ่มเขาจะมีกันเป็นชุด ส่วนใหญ่ก็จะ 3 ใบเถา
มีแบบชุดคู่กับชุดคี่ แต่ละลูกต่างกัน 2 นิ้ว อย่าง
ถ้าเป็นชุดคู่ ก็จะเป็น 10 นิ้ว 12
นิ้ว 14 นิ้ว ถ้าเป็นคี่ก็ 7 นิ้ว 9 นิ้ว 11 นิ้ว”
นอกจากตะลุ่มที่นิยมกันแลว
ก็ยังมีพวกกระเป๋าถือ กรอบรูป ไปจนถึงงานใหญ่อย่างงานประดับมุกประตูหน้าต่างในโบสถ์
“ถ้ารับงานประตูโบสถ์
ก็ต้องใช้หอยราว 5-600 กิโล
ที่เคยทำก็มีแท่นมุกที่สวนสามพราน งานใหญ่พวกนี้ทำคนเดียวไม่ทัน
ต้องระดมเครือมาช่วย”
“ออกแบบลายนี้มีลายยากๆไหมคะ”
“ลายอะไรก็ไม่ยากหรอก
ทำได้แล้ว มีประสบการณ์แล้วก็ทำได้ทั้งนั้น เราต้องรู้ว่าลายไหนต้องทำยังไง
ถ้าทำหงส์ หงส์ต้องมองฟ้า ถ้าเป็นม้า ม้าต้องมองดิน
“งานโบราณ
พวกตะลุ่มเก่า ความคมคายไม่ดี เพราะเครื่องมือไม่ดี
แต่ปัจจุบันผูกลายไม่เก่งเท่าโบราณ แต่เครื่องมือดีกว่า เทคนิคดีกว่า
เราจะเจียรมุกให้เรียบ แล้วมาติดบนไม้ระกำ แล้วค่อยๆ เลื่อย แบบนี้หางก็ไม่หัก
เวลาเจียรก็ต้องให้ความหนาบางพอดี หนามากไปก็เปลืองใบเลื่อย”
“นี่ดูชิ้นนี้”
ลุงยกกระบะมุกใบหนึ่งมาให้ดู “ชิ้นนี้ผมทำให้คนรู้จักกัน นานแล้วละ
พอดีเขาส่งกลับมาซ่อม ตรงพื้นนี้ ผมทำเป็นรูปหมูกับงู เพราะว่าสามีภรรยาคู่นี้ เขาเกิดปีมะเส็งกับปีกุน”
ผู้เขียนรับกระบะมุกมาดู
สีเหลือบอย่างสวยงามเพราะว่าใช้มุกไฟ บนพื้นกระบะทำเป็นงูเห่าพันตัวหมู
อยู่ในกรอบลายสี่เหลี่ยม ส่วนขอบกระบะแต่งลายพันธุ์พฤกษาแทรกรูปสัตว์เล็กๆ
สภาพผ่านการใช้งานแล้ว ไม่ใช่เป็นของใหม่ แต่ความพอดีและลงตัวของการออกแบบ
แสดงความมีชีวิตชีวาของฝีมือช่าง
บอกตามตรงว่า
งานชิ้นนี้ถูกใจผู้เขียนมากกว่างานชิ้นไหนๆ
และสัมผัสได้ถึงสายสัมพันธ์ของช่างผู้ทำงานกับเจ้าของกระบะ บอกได้เลยว่า
เจ้าของก็ต้องรักงานชิ้นนี้มากด้วยเหมือนกัน
นอกจากนี้
ที่ได้เห็นก็มีทำเป็นกระเป๋าถือ ส่วนงานพวกบานประตูหน้าต่างลุงลอองก็มี
เวลารับงานทีหนึ่ง ก็ต้องไปซื้อหอยกันมาเป็นหลายร้อยกิโล
คิดดูก็แล้วกันว่างานแบบนี้ช่างต้องมีทุนสำรองอยู่พอตัว
แล้วอยู่ตัวคนเดียวก็ไม่ได้
เพราะบางครั้งต้องระดมเหล่าเพื่อนที่เป็นช่างมาช่วยกันหากรับงานใหญ่
ลุงลอองมีชีวิตอยู่อย่างสมถะและเรียบง่าย
อย่างที่แกเล่ามาแล้วว่า วันหนึ่งๆ ตื่นเช้ามาทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เริ่มลงมอทำงาน
แต่แกก็มี “ของเล่น” อยู่เหมือนกันนะ แกบอกว่าสะสมพวกพระเครื่อง มีพระดีๆ อยู่เยอะ
แต่ไม่มีใครรู้หรอก เพราะว่าแกมีที่เก็บชั้นเยี่ยม
“อยู่ในปี๊บ”
แกหัวเราะ
“พระดีๆ
ก็มี ไม่มีใครรู้หรอก ใครมาขอซื้อผมก็ไม่ขาย แต่ถ้ารู้จักมักคุ้นกันแล้ว
เห็นว่าเป็นคนที่เหมาะสม ผมให้ฟรีเลย”
แม้ผู้เขียนจะไม่ได้รับการแจกพระเครื่องฟรี
เพราะแกคงเห็นว่าผู้เขียนไม่สนใจละมั้ง แต่ว่าได้ความรู้ฟรีๆ
ได้ฟังชีวิตการทำงานของช่างมีฝีมือคนหนึ่งฟรีๆ เหนืออื่นใด ผู้เขียนได้รับ “น้ำใจ”
แค่นี้ก็คุ้มแล้วล่ะ
**************
ปรับปรุงจากบทความในวารสารเมืองโบราณปีที่ 29 ฉบับที่ 4 ตุลาคม-ธันวาคม 2546