วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เส้นทางสายผ้าลาวครั่ง(ฉบับย่อ)

         คุณเคยประทับใจเส้นทางสายไหนเป็นพิเศษไหมคะ?

สำหรับผู้เขียน นึกถึงเส้นทางสายหนึ่งที่แสนประทับใจ และขอเรียกว่า “เส้นทางสายผ้าลาวครั่ง” ล้อ “เส้นทางสายไหม” อันลือชื่อ แม้หนทางจะไม่ทุรกันดาร ยาวไกล หรือเก่าแก่เท่าก็ตาม แต่สำหรับคนรักผ้าแล้ว เส้นทางสายนี้ย่อมประทับใจแน่นอน

เริ่มต้นจากอำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ถนนดีบ้าง แย่บ้าง ตัดผ่านภูมิประเทศที่เป็นภูเขาและที่ราบ ถ้าเป็นเวลาเย็น ทิวทัศน์ในแสงตะวันชิงพลบก็จะสวยมากทีเดียว ถนนผ่านเข้าสู่อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี บนเส้นทางสายนี้นี่แหละ ที่ตัดผ่านชุมชนของชาวลาวครั่ง เจ้าของผ้าผืนงามที่หลากสีหลายลาย และแฝงเรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์เอาไว้

ลาวครั่งเป็นใคร...มาจากไหน...

น้อยคนนักจะรู้จักชื่อนี้ และแม้แต่จะหาข้อมูลอ้างอิงจากตำราก็ยังหาได้ยาก เผลอๆ บางคนก็จะเพี้ยนเสียง “ครั่ง” เป็น “คลั่ง” แล้วพานสงสัยว่า คนกลุ่มนี้คงมีนิสัยดุเดือดน่าดู ถึงต้องเรียกว่า “คลั่ง”

ก่อนอื่นก็ต้องแนะนำกันก่อนว่า ชาวลาวครั่ง เป็นคนไทยเชื้อสายลาวกลุ่มหนึ่งที่ตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายอยู่ในบริเวณภาคกลางของไทย เช่น สุพรรณบุรี อุทัยธานี ชัยนาท นครสวรรค์ และพิจิตร ซึ่งมีพื้นที่ติดต่อกัน มีการย้ายถิ่นไปมา มีการแต่งงาน เป็นเครือญาติกัน และรักษาขนบธรรมเนียม รวมทั้งภาษาพูดเอาไว้อย่างเหนียวแน่น

ส่วนประวัติความเป็นมา ก็กล่าวกันว่า ประเทศลาวในอดีต เมื่อครั้งยังเป็น “ศรีสัตนาคนหุต” ชนกลุ่มนี้อาศัยอยู่ในแถบภูเขาเรียกว่า ภูคัง ต่อมาเมื่อลาวตกเป็นประเทศราชของสยาม มีการรบกันหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายในสมัยเจ้าอนุวงศ์ (พ.ศ. 2364) เมื่อกองทัพลาวพ่ายต่อสยาม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ตรัสสั่งให้เลิกอาณาจักรเวียงจันทน์และหลวงพระบางเสีย แล้วกวาดต้อนผู้คนให้เข้ามาอยู่ในบริเวณใกล้บางกอก

ชาวภูคังก็ถูกกวาดต้อนตามมาด้วย เมื่ออพยพมาแล้วนี้ คนก็พากันเรียกพวกเขาว่า “ลาวภูคัง” แล้วเพี้ยนมากลายเป็น “ลาวครั่ง” “ลาวขี้ครั่ง” บ้างก็เรียก “ลาวเต่าเหลือง” เพราะชอบอยู่ตามป่าเขา และมีความอดทนเหมือนเต่าภูเขากระดองเหลืองชนิดหนึ่ง

ความเป็นมาของชื่อ “ลาวครั่ง” ยังมีอีกตำราหนึ่ง เขาว่ามาจากการที่คนเหล่านี้นิยมใช้ “ครั่ง” มาย้อมสีเสื้อผ้า ครั่งเป็นแมลงชนิดหนึ่งทำรังอยู่ตามกิ่งไม้ ให้สีย้อมสีแดง ซึ่งเป็นสีที่ย้อมยากและเป็นที่ต้องการมากสีหนึ่ง และเราจะยังคงเห็นความนิยมในการใช้สีแดงบนผ้าทอพื้นเมืองของพวกเขา

งานทอผ้าเป็นงานของผู้หญิง ซึ่งเด็กสาวทุกคนก็จะได้เรียนรู้จากแม่ เริ่มด้วยการช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ จนกระทั่งทอผ้าได้ชำนาญ และจะต้องทุ่มเทฝีมือการทออีกครั้งเมื่อจะออกเรือน เพราะเสื้อผ้าเครื่องใช้ ตลอดจนผ้าไหว้ เจ้าสาวจะต้องเป็นคนลงมือทำเอง


แหล่งทอผ้าที่ผู้เขียนได้แวะเข้าไปเยี่ยมชมตามเส้นทางสานนี้เป็นแห่งแรกนั้น เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ บ้านทับผึ้งน้อย อยู่ในตำบลวังคัน อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี

หมู่บ้านแห่งนี้เป็นแบบชนบททั่วไป ชาวบ้านก็เป็นเกษตรกร ในขณะที่แม่บ้านใช้เวลาในยามว่างทอผ้าแบบดั้งเดิมของลาวครั่ง ส่วนหนึ่งไว้ใช้เอง ที่เหลือก็แบ่งไว้ขาย โดยมากก็จะไปฝากรวบรวมกันไว้ที่บ้านของป้าทองศรี ทีปะลา

ผู้เขียนได้พบกับยายไป ทอดี คุณยายอายุ 70 กว่าปีแล้ว แต่ก็ยังทอผ้าอยู่ ยายใจดีมาก ไปขนเอาผ้าต่างๆ ที่ทอไว้แต่ยกให้หลานสาวไปแล้วมาให้ดูตั้งหลายผืน แถมยังตอบคำถามต่างๆ อย่างอารมณ์ดี แม้ว่าผู้เขียนจะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ยายก็อุตส่าห์เล่าซ้ำซากให้ฟัง

“ลายนี้เขาเรียกโซ้ย (สร้อย) อันนี้เรียกนกน้อย โคกครือ นี่เรียก เอาะแอ (อ้อแอ้)” ยายไปอธิบายชื่อลายต่างๆ แล้วหัวเราะ เมื่อผู้เขียนถามย้ำเนื่องจากฟังไม่เข้าใจ แกว่าแกพูดภาษาไทยไม่เป็น พูดได้แต่ภาษาลาว แล้วยังบอกกับผู้เขีนอีกว่า สาวๆ สมัยนี้ เขาพากันละทิ้งการทอผ้า เพราะเห็นว่าเป็นงานจุกจิก ต้องใช้ความอดทนสูง สู้ไปทำงานในเมืองไม่ได้ ส่วนเสื้อผ้าก็หาซื้อเอาในตลาด

ผ้าที่ยายเอามาให้ดูนั้น มีหลายชนิดด้วยกัน ทั้งผาซิ่น ผ้าห่ม และหมอน ซึ่งมีทั้งหมอนสามเหลี่ยม และหมอนหน้าอิฐ ล้วนแต่สีสันจัดจ้าน และที่ไม่ขาดเลยก็คือ สีแดง มีแทรกอยู่ในผ้าทุกผืน จะมีที่สีสันขรึมหน่อย ก็คือ ซิ่นดอกดาวที่ยายไปทอไว้ใส่เอง

ซิ่นดอกดาว

พื้นสีน้ำเงินมืด แล้วใช้คู่สีแดง-น้ำเงินที่เบรคให้สีหม่นลงแล้ว มาจกลายเป็นลายตีน และลาดดาวบนตัวซิ่น ผ้าซิ่นดอกดาวนี้ เป็นซิ่นแบบหนึ่งของลาวครั่ง ตีนซิ่นเป็นลายตีนจกเช่นเดียวกับซิ่นตีนจกมัดหมี่ของลาวครั่ง แต่ตัวซิ่น จกลายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนเล็กๆ พราวไปหมดทั้งผืน

ทับผึ้งน้อยถือว่าเป็นช่วงเขตสิ้นสุดจังหวัดสุพรรณบุรี ขับรถไปอีกนิดเดียวก็ข้ามเส้นแบ่งเขตจังหวัด เข้าเขตของจังหวัดอุทัยธานี ซึ่งเราก็จะได้พบกับบ้านทัพคล้าย ในอำเภอบ้านไร่ ของจังหวัดอุทัยธานี

ที่นี่ยิ่งอบอุ่นกว่าที่ทับผึ้งน้อย เพราะเป็นหมู่บ้านใหญ่ และมีช่างทออยู่กันหลายคนมากกว่า แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นหญิงในวัยกลางคนขึ้นไป แม้กระทั่งคุณยายที่ผมสีดอกเลาแล้วก็ยังคงทอผ้าอยู่ใต้ถุนบ้าน

ที่ทัพคล้ายนี้ เราได้เห็นผ้าที่แตกต่างไปจากทับผึ้งน้อย คือผ้าม่าน ที่ทอลายรูปสัตว์หลายชนิด ทั้งสัตว์ปีกจำพวกไก่ นกสารพัดชนิด สัตว์สี่เท้า เช่น กวาง ม้า แรด ช้าง รวมทั้งมีรูปคนในอิริยาบถต่างๆ

ยายวิง จันทร ปูเสื่อไว้หน้าบ้าน แล้วก็ขนผ้าสารพัดแบบมาให้ผู้เขียนชม แล้วเพื่อนบ้านก็ทยอยกันขนผ้ามาให้บ้างก็มานั่งคุยด้วยเฉยๆ ก็มี

แม้ว่าที่นี่จะอยู่ใกล้กับทับผึ้งน้อย และเป็นเครือญาติกัน แต่ผ้าทอที่นี่มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เพราะการให้สีของลวดลายในผ้าแต่ละผืนนั่นเอง ชาวทัพคล้ายยังคงปลูกฝ้ายและปั่นฝ้ายไว้ใช้เอง และยังมีการย้อมสีธรรมชาติด้วย สีสันของผ้าทัพคล้ายจึงนุ่มนวลกว่า เฉพาะผ้าส่วนนี้เข้าใจว่า คงเป็นอิทธิพลจากแหล่งทอผ้าในบ้านไร่ที่เน้นสีย้อมธรรมชาติ เพราะชาวบ้านที่นี่ทอส่งไปขาย

แต่หากเป็นผ้าซิ่นตีนจก ไม่ว่าจะเป็นซิ่นมัดหมี่ต่อตีนจก หรือจะเป็นซิ่นดอกดาว ก็ยังคงสีสันสด และไม่มีวันลืมสีแดงไปได้

ผ้าลาวครั่งนิยมสีสดใส มักจับคู่สีเป็นคู่ตรงข้าม


ผู้เขียนกล่าวถึงแหล่งผ้าถึงสองแห่งแล้ว แต่ยังไม่ได้กล่าวถึงลักษณะผ้าโดยรวมของลาวครั่งเลย ต้องขออภัยที่เพลิดเพลินกับการดูผ้ามากไปหน่อย

ผ้าลาวครั่งนั้น มีความหลากหลายทั้งในเรื่องลวดลายและเทคนิค เพราะใช้ทั้งฝ้ายและไหม มีทั้งเทคนิคในการทอจกและการมัดหมี่

ผ้าชนิดที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของชาวลาวครั่งก็คือ ผ้าซิ่นมัดหมี่ต่อตีนจก ซึ่งถือกันว่าเป็นผ้าชิ้นเอกของช่างทอลาวครั่ง กล่าวคือ ผ้าซิ่นชนิดนี้ ตัวซิ่นทอด้วยเส้นไหมโดยมัดหมี่เป็นลวดลาย แล้วทอสลับกับลายขิด ซึ่งจะเป็นลายเส้นตั้ง ไม่ใช่ขวางตัวเหมือนอย่างายซิ่นของที่อื่น แล้วต่อด้วยตีนจกซึ่งทอด้วยเส้นฝ้าย (น้อยครั้งจะเป็นไหม) นิยมพื้นสีแดง ส่วนลวดลายนั้นเป็นลายเรขาคณิตที่ไม่มีแบบแผนตายตัว ขึ้นอยู่กับจินตนาการของช่างแต่ละคน ว่าจะพลิกแพลงให้ลวดลายพิศดารอย่างไรก็ได้

ซิ่นมัดหมี่ ต่อตีนจก


ซิ่นต่อตีนจกแดงแบบนี้ บางผืนก็ทอตัวซิ่นเป็นผ้าไหมมัดหมี่ล้วน ไม่มีสลับขิดก็มีเหมือนกัน ก็บอกแล้วว่า ชาวลาวครั่งเขาไม่มีกรอบที่ขีดไว้ตายตัว แล้วแต่ความคิดความสามารถของช่างทอเป็นคนๆ ไป

ส่วนซิ่นอีกแบบหนึ่งก็คือ ซิ่นดอกดาว อย่างที่อธิบายเมื่อข้างต้นไปแล้ว ซิ่นดอกดาวนิยมทอสีพื้นให้มืดเข้าไว้ แล้วจกลายสี่เหลี่ยมเล็กๆ ด้วยโทนสีอ่อนแก่ ประมาณ สามสี เพื่อเลียนแบบท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว ซึ่งถ้าท่านได้เห็นผ้าซิ่นดอกดาวของช่างทอฝีมือดีๆ จะหลงรักทันที เพราะเหมือนดาวบนท้องฟ้าที่ระยิบระยับเอามากๆ

ผ้าห่มของลาวครั่งก็สวยไม่แพ้ใคร ทอเป็นผืนใหญ่ มีลายท้องผ้า และลายเชิงชาย นิยมใช้สีคู่ตรงข้ามนำมาเบรคสีลงแล้วแทรกด้วยสีอื่นเล็กน้อย ซึ่งช่างทอลาวครั่งก็ช่างจับคู่สี และให้จังหวะสีได้เก่งจริงๆ

การจับคู่สีตรงข้ามเขียว-แดง แต่คุมโทนให้อ่อนหวาน เป็นวิธีการให้สีแบบใหม่


ยังมีผ้าม่าน ซึ่งนิยมทอลายรูปสัตว์ต่างๆ เมื่อก่อนเป็นของที่ทำถวายวัด เดี๋ยวนี้ทำตามออเดอร์ สำหรับชาวเมืองเขานำไปแต่งบ้าน

ลายรูปสัตว์และลายเรขาคณิตเหล่านี้ ปัจจุบันมีการประยุกต์ในการทอ ทำเป็นผ้าแบบต่างๆ สำหรับชีวิตคนยุคใหม่ เช่น ผ้ารองจาน ผ้าคลุมเตียง หรือผ้าตัดเสื้อ

ส่วนหมอนนั้น มีทั้งหมอนสามเหลี่ยมและหมอนหน้าอิฐ โดยใช้ลวดลายที่เป็นเรขาคณิต และใช้สีสันสดเหมือนกัน

หมอนขวาน หรือหมอนสามเหลี่ยม


แหล่งทอผาในหมู่บ้านถัดไป ตั้งอยู่ติดกับวัดทัพหลวง และตั้งเป็นศูนย์ทอผ้าแล้ว คือศูนย์ทอผ้าบ้านทัพหลวง มีประธานศูนย์ชื่อ สินเทา ป้อมคำ

พี่สินเทาอยู่กับแม่และพี่สาว โดยที่ตัวเธอไม่ได้แต่งงาน อาศัยเป็นคนขยันทำมาหากินจึงเลี้ยงตัวเองได้ ช่างทอคนสำคัญของศูนย์นี้ก็คือพี่สาวของพี่สินเทา ชื่อมณี พี่สินเทาได้นำซิ่นดอดาวที่พี่มณีเป็นคนทอมาให้ผู้เขียนชม และเล่าให้ฟังว่า ใส่ผ้าซิ่นนี้ออกงานทีไร จะต้องมีออเดอร์ผ้าซิ่นดอกดาวติดไม้ติดมือกลับมาทุกครั้ง เพราะซิ่นผืนนี้ พี่มณีวางสีและจังหวะของลายสี่เหลี่ยมเล็กๆ บนตัวซิ่นได้อย่างเหมาะเจาะ ดูแล้วเหมือนท้องฟ้าที่มีดวงดาวระยิบระยับอยู่จริงๆ

ซิ่นดอกดาวของพี่มณี ด้วยวิธีการให้โทนสีอ่อนแก่อย่างฉลาด เลียนแบบความพร่างพราวของดาวบนท้องฟ้าได้อย่างน่าชม

“ช่างทอเขาเล่ากันว่า ยายเกลี้ยงแกมองฟ้า แล้วก็เอามาทอซิ่นดอกดาว” พี่สินเทาเล่านิทานประกอบลวดลายให้เราฟัง ซึ่งเป็นนิทานปรัมปราที่เล่าสืบต่อๆ กันมา ไม่เฉพาะเพียงซิ่นดอกดาวนี้เท่านั้น ลวดลายอื่นๆ ก็มีเรื่องเล่าฟังเพลินเช่นกัน

“ลายดอกรอด เขาก็เล่าว่าสามีไปรบ ช่างทออยู่บ้านทอผ้า ก็อธิษฐานให้สามีรอดชีวิตกลับมา แล้วก็เลยคิดออกเป็นลาย เรียกดอกรอด

ลายอ้อแอ้ เขาว่าเดินไปไหนๆ มาเหนื่อย กลับมาถึงก็คิดเป็นลาย เรียกว่าอ้อแอ้”

แม้เป็นเพียงนิทานที่เล่าขานกันมา ไม่มีหลักฐานยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ก็สะท้อนให้เห็นถงความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของช่างทอผ้าชาวลาวครั่งที่มีอย่างร่ำรวย และยิ่งน่าสนใจเมื่อเราพบเห็นงานทอในแต่ละแหล่ง แม้มีแบบแผนประเพณีอันเดียวกัน ทว่าในแต่ละท้องถิ่นกลับมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือจะเรียกว่าเป็นลักษณะของช่างเฉพาะคนก็ว่าได้ เพราะในลายเดียวกัน แต่วิธีการให้จังหวะ การใช้คู่สี การแทรกสีล้วนผิดแผกแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เช่นที่บ้านทัพหลวงนี้ พี่มณีทอผ้าที่มีสีสันสด สนุกสนานและมีชีวิตชีวา

น่าเสียดาย ภายหลังผู้ขียนได้ทราบข่าวว่า พี่มณีซึ่งปกติมีโรคประจำตัวเป็นลมชักอยู่นั้นได้เสียชีวิตลงเสียแล้ว เราจึงสูญเสียช่างฝีมืดีไปอีกคนหนึ่ง

ถัดบ้านทัพหลวงไปอีกไม่ไกล คือศูนย์ทอผ้าบ้านบึงซึ่งเป็นศูนย์ใหญ่ที่มีการพัฒนาและก้าวหน้ามากกว่าสามแห่งแรก ศูนย์แห่งนี้มีประธานศูนย์คือ ศรีนิน จันทรักษ์

ลักษณะที่พิเศษแตกต่างจากแหล่งอื่นๆ ก็คือ ที่นี่เน้นการใช้สีย้อมจากธรรมชาติ

พี่ศรีนินได้เล่าให้ฟังว่า แต่เดิมก็ทอผ้าเป็นตามแบบสาวๆ ลาวครั่งทั่วไป คือพอเรียนจบป.4 ก็มาช่วยแม่ทอผ้า ต่อมาได้รู้จักกับคุณวิสุตา สาณะเสน ได้พาพี่ศรีนินไปออกร้านขายผ้าในงานเทศกาลของจังหวัดอุทัยธานี หลังจากนั้นพี่ศรีนินก็เริ่มหันมาทอผ้าขาย จนกระทั่งรวบรวมสมาชิกตั้งเป็นศูนย์ขึ้นมาได้

ผ้าคลุมเตียง ที่นำลวดลายแบบผ้าคลุมไหล่มาประยุกต์ใช้ และย้อมสีธรรมชาติให้นุ่มนวล


ที่นี่ได้นำการทอผ้าแบบดั้งเดิมมาประยุกร์เพื่อผลิตผ้าที่ใช้ได้กว้างขวางขึ้น และเหมาะกับชีวิตของสังคมยุคใหม่มากขึ้น เช่นการนำผ้าห่มมาขยายขนาดทำเป็นผ้าคลุมเตียง ลายเรขาคณิตและลายรูปสัตว์นำมาทอเป็นผ้ารองจาน ผ้าตัดเสื้อ และอื่นๆ ตามแต่จะมีออเดอร์ หรือมีการออกแบบใหม่ๆ

ความรู้ในด้านการย้อมสีธรรมชาตินั้น ก็รวบรวมมาจากคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านที่ยังพอมีความทรงจำในภูมิปัญญาเก่าๆ อยู่ วัตถุดิบก็หาไม่ยาก เพราะมีอยู๋ในท้องไร่ท้องนา ช่างทำกี่และกระสวยก็เป็นคนในหมู่บ้าน ช่างเหล่านี้เป็นพวกพ่อบ้าน แม้ว่าจะมีอายุแล้ว แต่ความชำนาญและความเข้าใจในเชิงช่างมีเหนือกว่าคนหนุ่มๆ อย่างเช่น การทำกระสวยช่างรุ่นเก่าจะคัดเลือกไม้ โดยเลือกเอาไม้โมกมันซึ่งไม่มีเสี้ยน เพื่อจะได้ไม่เกี่ยวเส้นด้ายขาดเวลาใช้งาน

ด้วยพื้นฐานภูมิปัญญาที่มีอยู่เดิม ผสมผสานกับความคิดใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิตที่พี่ศรีนินศึกษามาจากที่อื่น หรือด้านการตลาดและการจำหน่าย ก็ทำให้ศูนย์บ้านบึงก้าวหน้าไปได้มาก และมีการพัฒนาตลอดเวลา

แม้กระนั้นก็ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่น พี่ศรินินบอกว่ามีปัญหาให้ต้องขบคิดตลอดเวลา เช่น การฝึกช่างทอรุ่นใหม่ เพราะเด็กสาวส่วนใหญ่ไม่สนใจ หรือที่มีความสนใจก็ไม่มีเวลามากพอที่จะฝึกฝนให้ชำนาญได้ เพราะต้องเรียนหนังสือ เป็นต้น

ความประทับใจในเส้นทางสายผ้าลาวครั่งเส้นนี้ นอกจากจะได้เพลิดเพลินกับความสวยงามของผ้าทอพื้นเมืองแล้ว อัธยาศัยของชาวบ้านก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่ประทับใจผู้มาเยือน

แหล่งทอผ้าบนเส้นทางสายนี้ยังมีอีกหลายแหล่ง แต่เฉพาะสี่แห่งที่ผู้เขียนเล่าถึง เชื่อแน่ว่าสำหรับคนรักผ้าแล้วก็สามารถเพลิดเพลินจนเวลาล่วงไปอย่างไม่รู้ตัว

***หมายเหตุ 

        หลังจากตีพิมพ์บทความนี้ในวารสารเมืองโบราณ ได้มีผู้อ่านโทรศัพท์มาคุยกับผู้เขียน เขาประทับใจทั้งชื่อและเรื่องราวของเส้นทางสายผ้าลาวครั่งมาก และอยากจะนำไปทำเป็นวิทยานิพนธ์ต่อ ผู้เขียนเองไม่ขัดข้องที่เขาจะนำไปต่อยอด แต่หลังจากนั้นก็ไม่ทราบข่าวความคืบหน้าอีกเลย

        ต่อมา ผู้เขียนเองก็อยากต่อยอดงานเขียนเรื่องนี้ วางแผนไว้ว่า จะขยายเรื่องให้เป็นหนังสือสักหนึ่งเล่ม จึงได้เก็บรวบรวมข้อมูลและเขียนเรื่องนี้เพิ่มเติมขึ้นอีก
       
        กลายเป็นว่า ยิ่งทำ ยิ่งมีข้อมูลให้ศึกษามากขึ้น ถึงบัดนี้ ยังเข้าไปเก็บรวบรวมได้หมดทุกพื้นที่เลยค่ะ น่าเสียดายมากๆ เพราะว่าแต่ละท้องถิ่นมีเรื่องเล่าเรื่องราวที่สนุกสนาน

        วันนี้จึงเพียงนำเรื่องบางส่วนมาเล่าสู่กันฟังในบล็อกก่อน ไว้มีโอกาส จะนำ “เส้นทางสายผ้าครั่ง” มานำเสนออีกนะคะ


วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ลออง นิลพฤกษ์ ช่างมุกเมืองเก่า

        หนึ่งในงานช่างไทยที่ขึ้นชื่อลือเลื่องก็คืองานประดับมุก สีมุกแวววาวที่ตัดกับพื้นรักดำ เล่นลวดลายพลิ้วไหวจนบางครั้งก็แทบไม่น่าเชื่อว่าเกิดจากการตัดเปลือกหอยมาวาง ความวิจิตรบรรจงของงานช่างแขนงนี้ประทับใจยิ่งนัก

        การจะตามหาช่างมุกสักคนหนึ่งจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ว่าได้ ก่อนที่สโลแกน “หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์” จะบูม ผู้เขียนได้เคยออกไปตามหาช่างมุกที่อยุธยาครั้งหนึ่ง

ครั้งแรกที่ไป ทราบเพียงกว้างๆ ว่ามีช่างมุกอยู่ในอำเภอบางปะหัน แบบที่เรียกว่า “หาไม่ยาก” แต่ความจริงเมื่อไปถึงแล้ว ก็หาได้ไม่ง่ายอย่างที่คิด บางแห่งกลายเป็นร้านขนาดใหญ่ มีช่างเป็นแผนกๆ เวลาคุยก็ไม่ค่อยสนใจให้ข้อมูลสักเท่าไหร่ เหมือนกับว่ากลัวเสียเวลาทำมาหากิน นั่นกลายเป็นความไม่ประทับใจอย่างมาก และทำให้ท้อถอยว่า ช่างที่อยู่ใกล้ความเจริญเดี๋ยวนี้ขาดน้ำใจ ไม่น่ารักเสียแล้ว คงจะกลับบ้านมือเปล่า

        แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ลองตระเวณถามหาช่างอีกสักคนสองคน ก็ไม่เสียหลาย และก็ไม่เสีย กลับได้จริงๆ ด้วย

        ที่ตำบลขวัญเมือง อำเภอบางปะหัน ตรงทางเข้าวัดตะเคียน ณ บ้านไม้แบบชนบททั่วๆ ไปหลังหนึ่ง ฉันได้พบกับช่างมุกที่ชาวบ้านแนะนำว่า นี่แหละ ช่างฝีมือดี – ลุงลออง นิลพฤกษ์


        ชายไทยร่างสันทัด ออกท้วม ผิวคล้ำ ตัดผมเกรียน สวมแว่นตา หน้าตาธรรมดาๆ ออกมาต้อนรับ และพอทราบว่าฉันอยากจะดูงานช่างมุก แกก็ยินดีให้พูดคุย

        ตอนแรกที่เดินเข้ามาในบริเวณบ้าน ฉันไม่ทันสังเกตเห็นกองเปลือกหอย เพราะมีสีหม่นๆ กลมกลืนไปกับพื้น ต่อเมื่องลุงลอองชี้ให้ดูจึงได้เห็นวัตถุดิบสำคัญ

        “มุกมันมีหลายอย่าง” ลุงชี้ให้ดูกองเปลือกหอย แล้วเดินไปหยิบเปลือกหอยหลายชิ้นมาให้ดู

        “แบบนี้เป็นหอยทะเล เรียกหอยอูฐ เป็นชนิดที่สวยที่สุด เวลาทำเสร็จแล้ว สีมุกจะเหลือบรุ้งสวยมาก บางทีก็เรียกว่ามุกไฟ”

        “อันนี่ล่ะคะ” ฉันหยิบชิ้นส่วนชิ้นหนึ่งขึ้นมาถาม

        “อ้อ อันนี้เรียกว่าขื่อหอย มันเป็นแกนตรงกลางเป็นเศษที่เหลือแล้ว หอยอูฐคล้ายๆ หอยสังข์ เป็นหอยกาบเดียว ผิวขรุขระ” ลุงอธิบายแล้วชี้ให้ดูผิวของเปลือกหอยสีขาวขรุขระ ซึ่งหน้าตาไม่บอกเลยว่าจะเป็นสีมุกสีรุ้งเหลือบได้

        “เราจะไปเจียรก่อน เอาผิวออกเสีย แล้วจะได้เนื้อเปลือกหอยที่เป็นมุก แล้วก็เอาไปเข้าเครื่องตัดให้เป็นแผ่นตามที่เราต้องการ พอตัดออกไปแล้วก็จะเหลือขื่นอย่างที่เห็นนี่แหละ”

        “หอยพวกนี้ไปซื้อที่ไหนคะ หรือว่ามีคนมาส่ง”

        “ผมไปซื้อที่ระนอง ไปเอง เราต้องรู้ทำเล หอยมุกพวกนี้เป็นหอยทะเลลึก ต้องต่ำกว่า 30 เมตรถึงจะมี เราจะใช้ เราก็ต้องรู้แหล่งว่าจะไปหาซื้อได้ที่ไหน เมื่อก่อนผมซื้อโลละ 3 บาท แต่เดี๋ยวนี้กิโละ 1,800

        โอ้โฮ! ผู้เขียนตาโต เฉพาะซื้อเปลือกหอยก็กิโลละเป็นพัน แล้วถ้าเกิดเปลือกหอยมุกหาได้ยากขึ้น (ซึ่งเป็นปกติเพราะสภาพแวดล้อมแย่ลง อะไรๆ ก็เอาแต่สูญพันธุ์) ราคาก็ต้องยิ่งขึ้นไป ขึ้นไป...

        “มุกไฟนี้ยิ่งเก่ายิ่งสวยนะ” ลุงลอองเล่าต่อ ดึงความสนใจของผู้เขียนกลับมา

        “มันจะเหลือบสีสวยกว่าใครเขา รวมทั้งทนกว่าหอยแบบอื่นๆ แต่หอยชนิดอื่นก็มีนะ พวกหอยน้ำจืด อย่างหอยกาบ หอยแมลงภู่ หอยจาน หอยนมสาว พวกนี้ใช้ได้หมด แต่จะว่าสวยหรือทนแล้ว สู้ไม่ได้”

        ลุงเอาเปลือกหอยมาเรียง ชี้ให้ดูอธิบายให้ฟัง สารพัดหอยที่ลุงเล่า แต่ละชนิดก็ใช้งานต่างกันออกไป ราคาในการซื้อขายก็แตกต่างกันไปด้วย แน่นอนมุกไฟก็ต้องสนนราคาสูงที่สุด (แต่ก็สวยคุ้มค่าที่สุดด้วย)

        “ผมอยู่กับหอยมายี่สิบปี” คราวนี้ลุงเริ่มสนุกแล้ว

        “ผมคิดว่าจะศึกษาดูว่า หอยอันดามันกับหอยอินโดนีเซียมันต่างกันยังไง ทั้งที่มันเป็นหอยอย่างเดียวกัน ผิดกันที่น้ำเท่านั้น ไม่รู้ทำไมหอยอันดามันถึงสวยกว่า”

        ผู้เขียนนึกในใจว่า ลุงลอองคงจะรักและสนใจเรื่องของหอยมาก แล้วเรื่องเปลือกหอยเป็นเรื่องที่ศึกษากันได้ยากและสลับซับซ้อนวิชาหนึ่ง สงสัยว่าลุงแกอาจจะเรียนวิทยาศาสตร์มาละมั้ง

        “ผมจบแค่ป.4” อ้าว เล่นเอางง

        “แต่ผมเป็นคนใฝ่รู้นะ อะไรที่ผมไม่รู้ ผมจะถาม ผมนี่เป็นคนอำเภออุทัย สมัยก่อนก็ไปเป็นลูกจ้างร้านนายเพ้งเสาชิงช้า เขาให้ทำอะไร เราก็ทำ งานช่างพวกนี้แล้วแต่ใครจะมีหัว แต่ไม่ค่อยได้วิชาหรอก เพราะใครำหน้าที่ไหนก็ทำหน้าที่นั่น ไม่ได้ทำทุกอย่างก็จะไม่รู้”

        เป็นลักษณะของงานช่างแบบอุตสาหกรรมในครัวเรือน ที่แบ่งหน้าที่คนงานออกไปตามความถนัด ทำให้น้อยคนนักที่จะสามารถรู้ขั้นตอนและมีความชำนาญได้ทั้งหมด แต่ถึงแม้กระนั้น ลุงลอองไม่ใช่คนอยู่เฉย ในระหว่างทำงานก็ดิ้นรนขวนขวายหาความรู้ใส่ตัว ซึ่งสมัยก่อน ตำรับตำราและการอบรมสอนวิชาช่างยังไม่แพร่หลายอย่างนี้ ก็ลองจินตนาการดูเอาแล้วกันว่า ลุงลอองจะต้องใช้แรงบันดาลใจขนาดไหน

        “ผมไม่มีความรู้ ก็ไปหาตำรามาฝึกเอง พวกเขียนลายไทย  ทำเครื่องมุกต้องเขียนเป็น ก็ซื้อตำราของพระเทวาภินิมมิต หลวงวิศาลศิลปกรรม ไสว โพธิ์อ่อนน้อม ผมเป็นคนจำแม่น ไปดูไปเห็นลายที่ไหน กลับมาก็เขียนได้”

        เอากะแกสิ ทั้งใฝ่รู้ ขยัน แล้วยังความจำดีอีกด้วย เป็นลูกจ้างเขาอยู่พักหนึ่ง พอมีความรู้ความชำนาญแล้ว ลุงลอองก็ออกมารับงานเอง แต่การเริ่มต้นอาชีพช่างเครื่องมุกมันไม่ใช่เพียงแค่มีฝีมือเท่านั้น ลุงลอองเล่าถึงจุดเริ่มต้นในวิชาชีพที่ทำมาจนปัจจุบันว่า

        “ผมออกมารับงานเองเมื่ออายุ 24 ปี เริ่มต้นด้วยเงิน 1,000 บาท ผมไม่รับงานร้านเพราะเขาเอาเปรียบ ก็ไปหางานวัดดีกว่า ผมรู้จักกับหลวงพ่อขม ท่านอยู่วัดชนะสงคราม ผมก็ไปอาศัยท่าน ตะลุ่มลูกแรกที่ทำได้ ท่านก็แนะนำให้ไปหาพระที่รู้จักกัน พระที่วัดพระศรีมหาธาตุ ก็ขายได้”



        “ทำงานพวกนี้นะ ต้องซื่อสัตย์” ลุงเน้น “พระท่านลองใจ ผมเอาของไปส่งให้ แล้วท่านก็ให้เงินมา ผมนับเงินแล้วเกิน ก็เอาไปคืน เราไม่เอาเปรียบคนอื่น ต่อ ๆ มาคนก็เชื่อถือ รู้จักกว้างออกไปเรื่อยๆ”

        นี่อย่างไรล่ะ เคล็ดลับของการยืนหยัดในวิชาชีพ นอกจากใฝ่รู้ จนมีความชำนาญแล้ว ยังต้องอาศัยความซื่อสัตย์ สร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้า แบบสมัยใหม่ที่เรียกว่า “สร้างเครดิต” ด้วย  ทั้งหมดที่ประกอบกันทำให้ลุงลอองเป็นช่างทำเครื่องมุกที่ลูกค้าเชื่อถือมายาวนาน

        “ผมทำงานมีความสุขนะ” ลุงพูดยิ้มๆ “ตื่นหกโมงเช้า เดินไปปากซอย กลับมาชงน้ำชา แล้วก็ทำงาน พักกินข้าวบ้าง แล้วก็ทำไปเรื่อยจนเย็น”

        ท่าทางสบายๆ บ่งบอกถึงชีวิตที่มีความสุขอย่างที่แกเล่า ผู้เขียนไม่ได้เห็นการทำงานของลุง เพราะวันนั้นทั้งวันอยู่คุยกันจนเย็นค่ำ เรียกว่าลุงแกไม่ต้องได้ทำงานละ ถ้าหากเป็นชีวิตในออฟฟิศละก็ ต้องถูกเจ้านายค้อนแล้วค้อนอีก หรือไม่เจ้าตัวก็อาจจะไม่ค่อยพอใจเพราะว่าเสียเวลาทำมาหากิน แต่ลุงลอองก็ยอมเสียเวลามาคุยด้วย ทั้งให้ความรู้ ตอบคำถามอย่างไม่เก็บงำ

        “เวลาจะทำงานรัก จะต้องเป็นคนสะอาด คืออาบน้ำประแป้งให้นวลเชียว แล้วจึงมาทำงาน เพราะแป้งจะช่วยให้ยางรักไม่กัดผิว”

        ลุงลอองเล่าถึงวินัยในการทำงานกับยางรัก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญอย่างหนึ่งในการทำงานประดับมุก

ขั้นตอนการทำงานมุกของลุงลอองนั้น เริ่มจากการเตรียมหุ่น เมื่อได้หุ่นแล้ว ก็มาออกแบบและวางลวดลาย นำมุกมาตัดให้เป็นชิ้นตามต้องการ ติดด้วยกาวบนหุ่นไม้ จากนั้นลงสีโป้ว ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วขัดให้ผิวเรียบ

        ใช่ค่ะ สีโป้ว อ่านไม่ผิด ฟังมาก็ไม่ผิด

นี่เป็นวัตถุดิบยุคใหม่ที่มาแทนที่รัก เดิมเขาใช้ยางรักสีดำกันทั่วไป โดยเฉพาะงานช่างฝีมือไทย รักเป็นต้นไม้ใหญ่ อยู่ในจีนและพม่า ให้น้ำยางสีดำ ที่นำมาใช้งานแต่โบราณ ปัจจุบันรักหายากและมีราคาแพง ช่างไทยได้ปรับเปลี่ยนวัตถุดิบมานานแล้ว อย่างงานมุก ลุงลอองก็บอกว่า แต่ก่อนเขาใช้น้ำมันชแล็กกับฝุ่นดำ แต่ปัจจุบันหันมาใช้สีโป้ว

        “ใช้สีโป้วก็เหมือนใช้รัก ผลไม่แตกต่างกัน ดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะทำงานได้เร็ว ราคาก็ถูกกว่าด้วย” ลุงให้ความเห็น และอธิบายขั้นตอนแบบโบราณให้ฟังด้วย

        “โบราณเขาใช้ลงสมุกรัก แล้วใช้หินมีดโกนขัด แล้วขัดด้วยใบตองแห้งอีกที”

        เพื่อให้เข้าใจได้ชัดเจนขึ้น ผู้เขียนกลับมาค้นหาตำรามาอ่าน ก็ได้รู้ถึงวิธีการทำเครื่องมุกแบบดั้งเดิม เท่าที่ค้นมาจากหนังสือของทางราชการ ขั้นตอนไม่ค่อยแตกต่างจากที่ลุงลอองเล่ามากนัก เพียงแต่ใช้วัตถุดิบที่ต่างออกไป

        เขาก็ว่ากันตามลำดับคือ อย่างแรกสุดก็ต้องมีภาชนะที่ต้องการจะประดับมุก ส่วนใหญ่ก็ทำจากไม้ เช่น พวกบานประตูหน้าต่าง หรือขึ้นรูปด้วยหวายอย่างตะลุ่ม จากนั้นนำมาออกแบบลวดลาย และจัดวางลายให้ลงตามพื้นที่ที่มี ต้องกะลายให้ลงพอดี ลอกลายที่ได้นี้ลงบนกระดาษแก้ว นำหอยมุกมาตัดเป็นชิ้นๆ แล้วขัดผิวด้วยหินจนได้เนื้อบางตามต้องการ นำชิ้นมุกนี้ไปติดลงบนไม้โมกมัน จากนั้นนำลวดลายบนกระดาษแก้วมาลอกลงผิวมุก เลื่อยตามลายที่วางไว้ แล้วเอาตะไบแต่งริมให้เรียบร้อย

        ต่อไปก็นำหุ่นที่เตรียมไว้มาลงรองพื้นด้วยรักครั้งหนึ่ง ทิ้งให้แห้งแล้วลงรักอย่างดีอีกครั้ง รอให้หมาดแล้วนำมุกที่ตัดไว้มาติดลงไป รอให้แห้ง จากนั้นนำรักสมุกมาถมอีกที ใช้ไม้เนียนกวาดให้เรียบเสมอกัน แล้วทิ้งไว้ให้แห้ง ก่อนนำมาขัดพร้อมกับแต่งถมส่วนที่บกพร่อง พอผ่านขั้นตอนนี้แล้ว สุดท้ายคือนำใบตองแห้งกับน้ำมันมะพร้าวมาขัดถูจนขึ้นมัน

        เรียกว่าลุงลอองนั้นเรียนรู้กรรมวิธีแบบโบราณดั้งเดิม แล้วก็ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย วัสดุสมัยใหม่อย่างเรซิ่น ลุงลอองก็ลองทำดูเหมือนกัน เป็นงานกรอบรูป ใช้เปลือกหอยแมลงภู่และเรซิ่น ซึ่งเป็นงานที่สามารถทำในปริมาณมากได้ และให้ลูกมือเป็นคนทำ

        “ที่นิยมกันก็คือตะลุ่ม” ลุงยกตะลุ่มมาให้ดู เชื่อว่าคนไทยต้องรู้จักตะลุ่ม เป็นภาชนะที่มีเชิงคล้ายพาน

        “หุ่นตะลุ่มนี่ต้องทำด้วยหวายเท่านั้นนะ เพราะว่าเบา ถ้าเป็นไม้อื่น วงการเขาไม่ยอมรับ หุ่นตะลุ่มเราไม่ต้องทำเอง มีคนทำอยู่ในอยุธยา

        “ตะลุ่มจะเป็นของที่พวกพระหรือคนมีสตางค์เขาซื้อเก็บกันไว้ เอาไว้อวดกันว่าของฉันมีอย่างนี้ ของท่านมีอย่างนั้น พอมีงานสำคัญก็เอาออกมาใช้ที ขนาดของตะลุ่มเขาเรียกเป็นนิ้ว คือวัดปากเอา ลูก 6-7 นิ้ว เอาใส่ธูปเทียนไหว้พระหรือขอขมา 10 นิ้ว ไว้ใส่โถข้าว 14 นิ้วไว้ใส่ของหวาน 18 นิ้ว ไว้ใส่ของคาว ตะลุ่มเขาจะมีกันเป็นชุด ส่วนใหญ่ก็จะ 3 ใบเถา มีแบบชุดคู่กับชุดคี่ แต่ละลูกต่างกัน 2 นิ้ว อย่าง ถ้าเป็นชุดคู่ ก็จะเป็น 10 นิ้ว 12 นิ้ว 14 นิ้ว ถ้าเป็นคี่ก็ 7 นิ้ว 9 นิ้ว 11 นิ้ว”

        นอกจากตะลุ่มที่นิยมกันแลว ก็ยังมีพวกกระเป๋าถือ กรอบรูป ไปจนถึงงานใหญ่อย่างงานประดับมุกประตูหน้าต่างในโบสถ์

        “ถ้ารับงานประตูโบสถ์ ก็ต้องใช้หอยราว 5-600 กิโล ที่เคยทำก็มีแท่นมุกที่สวนสามพราน งานใหญ่พวกนี้ทำคนเดียวไม่ทัน ต้องระดมเครือมาช่วย”

        “ออกแบบลายนี้มีลายยากๆไหมคะ”

        “ลายอะไรก็ไม่ยากหรอก ทำได้แล้ว มีประสบการณ์แล้วก็ทำได้ทั้งนั้น เราต้องรู้ว่าลายไหนต้องทำยังไง ถ้าทำหงส์ หงส์ต้องมองฟ้า ถ้าเป็นม้า ม้าต้องมองดิน

        “งานโบราณ พวกตะลุ่มเก่า ความคมคายไม่ดี เพราะเครื่องมือไม่ดี แต่ปัจจุบันผูกลายไม่เก่งเท่าโบราณ แต่เครื่องมือดีกว่า เทคนิคดีกว่า เราจะเจียรมุกให้เรียบ แล้วมาติดบนไม้ระกำ แล้วค่อยๆ เลื่อย แบบนี้หางก็ไม่หัก เวลาเจียรก็ต้องให้ความหนาบางพอดี หนามากไปก็เปลืองใบเลื่อย”



        “นี่ดูชิ้นนี้” ลุงยกกระบะมุกใบหนึ่งมาให้ดู “ชิ้นนี้ผมทำให้คนรู้จักกัน นานแล้วละ พอดีเขาส่งกลับมาซ่อม ตรงพื้นนี้ ผมทำเป็นรูปหมูกับงู เพราะว่าสามีภรรยาคู่นี้ เขาเกิดปีมะเส็งกับปีกุน”

        ผู้เขียนรับกระบะมุกมาดู สีเหลือบอย่างสวยงามเพราะว่าใช้มุกไฟ บนพื้นกระบะทำเป็นงูเห่าพันตัวหมู อยู่ในกรอบลายสี่เหลี่ยม ส่วนขอบกระบะแต่งลายพันธุ์พฤกษาแทรกรูปสัตว์เล็กๆ สภาพผ่านการใช้งานแล้ว ไม่ใช่เป็นของใหม่ แต่ความพอดีและลงตัวของการออกแบบ แสดงความมีชีวิตชีวาของฝีมือช่าง

บอกตามตรงว่า งานชิ้นนี้ถูกใจผู้เขียนมากกว่างานชิ้นไหนๆ และสัมผัสได้ถึงสายสัมพันธ์ของช่างผู้ทำงานกับเจ้าของกระบะ บอกได้เลยว่า เจ้าของก็ต้องรักงานชิ้นนี้มากด้วยเหมือนกัน



        นอกจากนี้ ที่ได้เห็นก็มีทำเป็นกระเป๋าถือ ส่วนงานพวกบานประตูหน้าต่างลุงลอองก็มี เวลารับงานทีหนึ่ง ก็ต้องไปซื้อหอยกันมาเป็นหลายร้อยกิโล คิดดูก็แล้วกันว่างานแบบนี้ช่างต้องมีทุนสำรองอยู่พอตัว แล้วอยู่ตัวคนเดียวก็ไม่ได้ เพราะบางครั้งต้องระดมเหล่าเพื่อนที่เป็นช่างมาช่วยกันหากรับงานใหญ่

        ลุงลอองมีชีวิตอยู่อย่างสมถะและเรียบง่าย อย่างที่แกเล่ามาแล้วว่า วันหนึ่งๆ ตื่นเช้ามาทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เริ่มลงมอทำงาน แต่แกก็มี “ของเล่น” อยู่เหมือนกันนะ แกบอกว่าสะสมพวกพระเครื่อง มีพระดีๆ อยู่เยอะ แต่ไม่มีใครรู้หรอก เพราะว่าแกมีที่เก็บชั้นเยี่ยม

        “อยู่ในปี๊บ” แกหัวเราะ

        “พระดีๆ ก็มี ไม่มีใครรู้หรอก ใครมาขอซื้อผมก็ไม่ขาย แต่ถ้ารู้จักมักคุ้นกันแล้ว เห็นว่าเป็นคนที่เหมาะสม ผมให้ฟรีเลย”

        แม้ผู้เขียนจะไม่ได้รับการแจกพระเครื่องฟรี เพราะแกคงเห็นว่าผู้เขียนไม่สนใจละมั้ง แต่ว่าได้ความรู้ฟรีๆ ได้ฟังชีวิตการทำงานของช่างมีฝีมือคนหนึ่งฟรีๆ เหนืออื่นใด ผู้เขียนได้รับ “น้ำใจ”

        แค่นี้ก็คุ้มแล้วล่ะ

**************

ปรับปรุงจากบทความในวารสารเมืองโบราณปีที่ 29 ฉบับที่ 4 ตุลาคม-ธันวาคม  2546

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คำปุน ศรีใส ทองเนื้อแท้แห่งเมืองอุบล (2)



ป้าคำปุน กำลังทอผ้าด้วยกี่ส่วนตัวที่แกะสลักด้วยศิลปะพื้นบ้านอย่างดงาม


คุณมีชัยพาเราไปยังเรือนหลังกลางที่ตั้งขวางอยู่ด้านหลัง เป็นเรือนทรงไทยประยุกต์ ที่จัดไว้เป็นห้องแสดงผ้า

“บ้านที่คำน้ำแซบนี่ผมมาทำเอง เริ่มตั้งแต่มาดูที่ ถมที่ ปลูกต้นไม้ ปีแรกที่ทำมีแต่รั้วกับต้นไม้เท่านั้นเองครับ” คุณมีชัยอธิบายขณะพาเรามานั่งตรงหน้าเรือนด้านหลังที่จัดเป็นห้องแสดงผ้า

“แบบบ้านคิดเอง เราเป็นคนทางนี้ ก็ชอบเส้นหลังคาแบบอีสานมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็เกิดคำถามว่า เอ๊ะ ทำไมไม่มีบ้านอีสานสวยๆ อย่างทางเหนือ เขาก็มีกาแล ก็เลยอยากทำขึ้นมา”

ถ้าดูผังของบ้านโดยรวมแล้วจะเป็นลักษณะสมดุล คือ ตรงกลางเป็นลานโล่ง และสระน้ำ มีอาคารโอบเป็นรูปเกือกม้า ด้านหน้าสุดเป็นเรือนหลังเล็กแบบเรียบๆ สำหรับเป็นโรงทอเรียงมาจนเป็นเรือนหลังใหญ่สองหลัง สำหรับเป็นที่พักอาศัย และจบที่เรือนขวางที่เรานั่งอยู่นี่

“ผมทำตามฟังก์ชั่นครับ โรงทอก็จะเรียบๆ ให้โล่ง เพราะเราต้องการใช้เนื้อที่ ส่วนเรือนที่พักก็จะมีอะไรเพิ่มมากขึ้น เพราะเราใช้อยู่อาศัย ห้องน้ำก็ต้องทำใหม่ เพราะเรือนไทยจะไม่มีห้องน้ำ ผมก็ใส่บานเลื่อนไปตามจุดต่างๆ เพราะผมชอบบานเลื่อนครับ (หัวเราะ)”



บรรยากาศภายในโรงทอผ้า


“ที่นี่ไม่ติดแอร์นะคะ” ผู้เขียนตั้งข้อสังเกต

“ครับ ถ้าติดแอร์ก็เสียดาย มาอยู่อย่างนี้แล้วไม่ได้รับอากาศธรรมชาติ พอผมทำบานเลื่อนก็จะเปิดได้กว้างรับอากาศได้มาก แต่ยุงกับแมลงเยอะก็เลยจำเป็นต้องใส่มุ้งลวด ทั้งๆ ที่ไม่ชอบเลย เพราะทำให้บ้านไม่สวย”

แหม! ขนาดบอกว่าไม่สวย สำหรับผู้เขียนแล้วสวยมากๆ และชอบมากๆ ตรงที่ไม่ติดเครื่องปรับอากาศ เพราะคิดเหมือนกันว่า อุตส่าห์ออกมาอยู่ท่ามกลางต้นไม้แล้ว ยังะต้องมาหายใจเอาอากาศที่ผ่านเครื่องซ้ำๆ ไปซ้ำๆ มาอีกหรือ

“ส่วนหลังนี้” คืออาคารแสดงผ้าที่เรานั่งกันอยู่ “ตกแต่งมากหน่อย ผมก็เอาแค่รูปทรงมา ระวังไม่ให้เครื่องหลังคาเยอะเกินไป”

ข้างในมีการตกแต่งที่ประยุกต์มาจากสไตล์ตะวันตก เช่น พื้นไม้ฝังหินอ่อนเล่นลาย บนเพดานเขียนลายดอกไม้ที่ผสมระหว่างไทยกับตะวันตก แต่โดยรวมๆ แล้วพยายามทำให้โล่ง ทาสีขาว เพื่อใช้จัดแสดงผ้า

ผ้าแต่ละผืนที่จัดแสดงอยู่ตามมุมต่างๆ ที่ได้เห็นในวันนั้น แต่ละชิ้นแต่ละผืนงามเด่นแตกต่างกันไป จัดเป็นผลงานชิ้นเด่นๆ ที่ป้าคำปุนรักหนักหนา ส่วนใหญ่เป็นผ้ามัดหมี่สอดดิ้น ซึ่งนอกจากตัวลวดลายมัดหมี่ที่ละเอียดงดงาม สีมัดย้อมที่วางจังหวะได้อย่างลงตัวแล้ว ยังประสานกับประกายของดิ้นทอง แต่ละผืนจึงงามเด่น ชมผืนไหนก็ชอบผืนนั้น สรุปคือสวยทุกชิ้น ไม่มีชิ้นไหนเป็นรองชิ้นไหน

เฮ้อ! ต้องถอนหายใจเพราะประทับใจไปเสียหมด แต่ไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของ เพราะเจ้าของเขารัก เขาไม่ขาย ครั้นจะสั่งทอกับเขาบ้าง สนนราคาก็ไม่เป็นใจกับเงินในกระเป๋าเลย เพราะที่เห็นจนลานตาอยู่นี้ บางชิ้นราคาเป็นแสน ก็เลยได้แต่ชื่นชมเป็นบุญตา

หลังชมผ้าชิ้นสุดยอดกันไปแล้ว อย่านึกว่าหมดแค่นี้ เรากลับมาหาป้าคำปุนที่ใต้ถุนเรือนพัก ยังมีผ้างามๆ ที่ไม่ได้เอาออกมาจัดแสดงอีกหลายชิ้น บางชิ้นเป็นงานสะสมของป้า บางชิ้นเป็นงานที่ลูกค้าสั่งทอไว้

ผ้าไหมสีชมพูสอดดิ้นทองที่ลูกค้าสั่งทอเพื่อใช้เป็นชุดเจ้าสาว

“ชิ้นนี้ลูกค้าเขาสั่งไว้ สำหรับงานแต่งงาน” ไหมพื้นขาวลายชมพูสอดดิ้นทองงามอ่อนหวานผืนนี้ต้องเป็นชุดเจ้าสาวที่สวยมากอย่างแน่นอน

“แบบนี้เรียกว่าผ้าปูม” ไหมแดงเข้มผืนใหญ่ที่คลี่ออกแล้วจะเห็นลวดลายตามแบบแผนคือ ตรงกลางเป็นลายท้องผ้า มัดเป็นลวดลายเล็ก ล้อมด้วยลายขอบที่เรียกว่าเชิงผ้า โดยทั่วไปผ้าปูมเป็นไหมมัดหมี่ ไม่มีการสอดดิ้น และจัดเป็นผ้าชั้นสูงใช้เฉพาะเหล่าขุนนางและข้าราชสำนัก แต่ปูมไหมที่สอดดิ้นทองก็ได้เห็นกันจากฝีมือของป้าคำปุนนี่แหละ ทำให้ยิ่งดูหรูขึ้นไปอีก แต่จะว่าชิ้นไหนสวยกว่าชิ้นไหน ก็ตอบไม่ถูก แหม! ป้าคำปุนเสียอย่างทอผืนไหน ผืนนั้นก็สวย

“ฉันทำผ้าไหม อยู่กับไหมมา ถ้าผืนไหนออกมาสวย ฉันต้องเก็บไว้ก่อน” 

นี่ขนาดเป็นช่างเองยังพูดแบบนี้ ก็เพราะงานฝีมือเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ แบบเดียวกับงานศิลปะ อยู่ที่จังหวะและอารมณ์ของช่างในการทำงานแต่ละครั้ง ไม่ใช่เครื่องจักรที่ปั๊มออกมาได้เหมือนกันหมดทุกชิ้น

“ซิ่นที่คนเชียงใหม่เขาสั่งทอไว้ ลายเลียนลายพม่า เขายังไม่มาเอา นานแล้ว ถ้ามาตอนนี้ ก็ไม่ให้แล้ว” ตอบด้วยรอยยิ้มที่นุ่มนวลแต่แฝงความเด็ดเดี่ยว คนสั่งมาเอาตอนนี้ก็หมดสิทธิ์เสียแล้ว

“ฉันชอบสีม่วงกับสีแดงครั่ง ชอบทุกลาย แต่ต้องอนุรักษ์ของอุบลฯ เอาไว้”


ผ้าปูม


ป้ายังอธิบายอีกว่า ผ้าพื้นเมืองของอุบลราชธานีมีหลายแบบหลายลาย อย่างซิ่นทิวเป็นซิ่นสำหรับคนมีอายุใส่ แต่เดิมไม่ต่อตีน ลายซิ่นเป็นลายทางขวางลำตัว ซึ่งเป็นตัวยืนยันว่าซิ่นลาวก็มีซิ่นลายทางขวาง ไม่เฉพาะว่าจะมีแต่ลายทางตั้ง ที่เรียกว่าซิ่นลายล่องเสมอไป ตัวอย่างก็เช่นซิ่นคั่นสำหรับผู้หญิงใส่ทั่วไป

เหมือนผืนที่ป้าคำปุนทอค้างอยู่ในกี่ ฉันเห็นซิ่นลายนี้มาหลายชิ้น แต่ก็ยังรู้สึกว่าชิ้นที่ค้างกี่อยู่นี้ดูงามกว่าชิ้นไหนที่ผ่านตามา

นอกจากจะอนุรักษ์มรดกเมืองอุบลด้วยการทอลายดั้งเดิมแล้ว รอบๆ ที่นั่งอยู่ ยังมีเครื่องทอผ้าแบบแปลกตา ไม่ว่าจะเป็นกี่ทอผ้าสีแดงที่เป็นไม้แกะสลัก หรือกวักไหม ที่ปั่นด้าย

“ผมพยายามเก็บรวบรวมมาครับ กลัวว่าปล่อยทิ้งไว้ก็จะสูญไปทุกวัน เดี๋ยวนี้ไปที่ไหนก็ไม่มีแล้วครับ” คุณมีชัยเล่าให้ฟัง

เครื่องมือเหล่านี้ล้วนทำจากไม้และส่วนใหญ่ทาสีแดง มีการสลักตกแต่งมากบ้างน้อยบ้างคละกันไป บางชิ้นดูจะมีร่องรอยการปิดทองอยู่ด้วย เป็นเครื่องยืนยันให้เห็นว่างานทอผ้าไม่ใช่เพียงแค่การพุ่งกระสวยให้ด้วยสอดขัดจนกลายมาเป็นผืนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงศิลปะอย่างอื่นด้วย

น่าคิดว่าช่างทอที่มีฝีมือ มี “ศิลปะ” และ “สุนทรียศาสตร์” อยู่ในตัวเอง จะไม่ตกแต่งเครื่องมือทำงานของตัวเองเชียวหรือ เท่าที่ฉันได้ยินได้ฟังมา อุปกรณ์ทอผ้านี้ ผู้ชายหรือพ่อบ้านจะเป็นคนทำให้กับภรรยา ฝ่ายชายที่มีฝีมือทางช่างอยู่แล้วจะไม่ไว้ฝีมือในการทำเครื่องมือให้เมียใช้บ้างหรือ

ฉันอำลาบ้านคำปุนมาพร้อมกับอาทิตย์ที่เริ่มอ่อนแสงเป็นสีอำพัน แม้ไม่มีผ้าไหมผืนงามติดมือกลับมาไว้ชื่นชม แต่ฉันก็ได้ความปลื้มใจ อิ่มเอม จากการที่ได้พบกับความงามแท้ทั้งจากผ้าไหมผืนงาม

และตัวคุณป้าคำปุน-ทองเนื้อแท้แห่งเมืองอุบล

************

ปรับปรุงจากบทความในวารสารเมืองโบราณ ปีที่ 29 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม-กันยายน 2546